วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก (Robert Sternberg, 1986)

   นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย
แสตนฟอร์ด ซึ่งโด่งดังจากการสร้างทฤษฎีที่อธิบายการทำงานของเชาว์ปัญญาในชื่อที่ว่า "ทฤษฎีสามศร" (Triarchic theory of intelligence) ได้พัฒนาทฤษฎีสามเหลี่ยมของความรัก  ท่านกล่าวว่าความรักของมนุษย์นั้นประกอบด้วย 3 รูปแบบของความรัก ได้แก่
          1. ความรักในระดับเนื้อหนัง ซึ่งเกิดจากแรงขับที่มาจากภายในของมนุษย์ (Passion)
          2. ความรักในระดับความรู้สึกที่ใกล้ชิดกัน สนิทสนมชิดเชื้อ (Intimacy)
          3. ความรักในระดับของพันธะสัญญา หรือการให้คำมั่นสัญญาต่อกันที่จะรักษาสัมพันธภาพไว้ให้ยั่งยืน (Commitment)
ท่านอธิบายว่าความรักทั้ง 3 ระดับนี้สามารถรวมกันและสร้างเป็นความรักได้ 8 รูปแบบคุณลักษณะ  เช่น   
  - ความรักระดับที่ 2 บวกกับความรักระดับที่ 1 (Intimacy + Passion) คือ ระดับเนื้อหนังรวมเข้ากับระดับ   
    ความรู้สึกใกล้ชิด สนิทชิดเชื้อ กลายเป็นความรักแบบโรแมนติก (Romantic love)  หรือ
  -ความรักระดับที่ 2 รวมเข้ากับความรักระดับที่ 3 (Intimacy + Commitment)  คือ ระดับความรู้สึกที่
          ใกล้ชิด สนิทชิดเชื้อ รวมเข้ากับระดับของการทำพันธะสัญญาต่อกัน กลายเป็นความรักแบบอุทิศตัว
          (Compassionate love)
ท่านอธิบายต่อว่า ความรักของคู่ชีวิตที่คงทนถาวรนั้นต้องประกอบด้วยความรักทั้ง 3 ระดับ (Passion, Intimacy, Commitment) อย่างสมดุลและเข้มข้นของทั้งสองฝ่าย
จากงานวิจัยคู่สมรส 104 คู่ตัวอย่าง (ระยะเวลาโดยเฉลี่ยที่แต่งงานอยู่ร่วมกันคือ 13 ปี จากกลุ่มตัวอย่างที่เพิ่งแต่งงานกัน 2 เดือนถึง 45 ปี) พบว่า ความรักในระดับใกล้ชิดสนิทชิดเชื้อ (Intimacy) และตามด้วยความรักในระดับเนื้อหนังของคู่สามีภรรยา สามารถทำนายถึงความพึงพอใจในชีวิตสมรส (Silbermn, 1995)  และจากมุมมองของคู่สมรสที่เป็นผู้ใหญ่พบว่า ความรักในระดับของพันธะสัญญา (Commitment) สามารถทำนายความพึงพอใจในชีวิตสมรสได้ดีที่สุด และยาวนานที่สุด (Acker & Davis, 1992)

ทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งความรัก (Triangular theory of love)

    ทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งความรัก (Triangular theory of love) คือ ทฤษฎีที่ว่าด้วยการศึกษาความรักในเชิงจิตวิทยาของนักจิตวิทยา โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก (Robert Sternberg) โดยเขาได้กล่าวว่าความรักจะประกอบไปด้วย 3 ส่วน ในบริบทที่เกี่ยวข้องกันของความสัมพันธ์ในรักระหว่างบุคคล ซึ่งทั้ง 3 ส่วนจะประกอบไปด้วย

1. ความลุ่มหลง (Passion) คือส่วนประกอบด้านแรงกระตุ้นในรัก เป็นเชื้อเพลิงที่ก่อเกิดความสัมพันธ์

2. ความผูกพัน (Intimacy) คือส่วนประกอบด้านอารมณ์ความรู้สึกในรัก กล่าวคือการรู้สึกถึงตัวเองที่ผูกพันกับคนคนหนึ่ง รู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้ การแบ่งเบาความทุกข์สุขกัน ความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง

3. ข้อผูกมัด (Commitment) คือส่วนประกอบด้านความรู้คิดของความรัก หมายถึงการตัดสินใจว่าจะรักใครอย่างมีสติ และคิดจะรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาว แม้ว่าจะมีอุปสรรคขวากหนามรออยู่เบื้องหน้าก็ตาม

    ตัวอย่างของทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งความรัก เช่น ความรักที่แท้จริง (Romantic love) จะประกอบไปด้วย ความหลงใหล+ความผูกผันหรือความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง

Robert Sternberg  (1985, 1990)  เสนอทฤษฎีว่าเชาวน์ปัญญาของคนเกิดจากกระบวนการคิดแล้วแสดงพฤติกรรมที่แสดงถึงเชาวน์ปัญญาออกมา (การเรียนรู้และการปรับตัว) เชาวน์ปัญญาประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ
1. การวิเคราะห์ :  เชาวน์ปัญญาคอมโพเน้นเชียล (Analytic :  Componential Intelligence) คือความสามารถในการคิด การเรียนรู้ การหาความรู้ การวางแผน การทำงานและคิดยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหา มีหน้าที่ 3 ประการ ได้แก่
          1.1 เลือกปัญหาและยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาตลอดจนการตรวจสอบเรียกว่า Meta Component
          1.2 ทำจริงตามที่เลือกใน 1.1 เรียกว่า Performance         Component
          1.3 รับความรู้และข้อมูลข่าวสารเพื่อเพิ่มพูนความรู้ใหม่ เรียกว่า Knowledge Acquisition Component
2. คิดสร้างสรรค์  :  เชาวน์ปัญญา เอ็กซ์พีเรียนเชียล (Creative  : Experiential Intelligence) คือความสามารถในการสู้สถานการณ์ใหม่หรืองานใหม่ แก้ปัญหาด้วยความคิดสร้างสรรค์ แสดงออกใน 2 ลักษณะคือ รู้แจ้งในปัญหาและวิธีแก้ปัญหาใหม่ ลักษณะหนึ่ง  อีกลักษณะหนึ่ง คือคิดและแก้ปัญหาใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอัตโนมัติ
3. ปฏิบัติ : เชาวน์ปัญญาคอนเท็คชวล (Practical  : Contectual Intelligence) คือการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความอยู่รอด ในการปรับตัวนั้นทำได้ใน 3 ลักษณะ ได้แก่
          3.1 ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม (Adaptation)
          3.2 เลือกปรับตัวตามความเหมาะสม (Selection)
          3.3 เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่ (Shaping)
กล่าวโดยสรุปเชาวน์ปัญญาก็คือความรู้ที่มีอยู่และสามารถนำมาแก้ปัญหาได้แล้วนำไปใช้การปรับตัวในที่สุด หรืออาจกล่าวได้ว่าคนที่มีเชาวน์คือคนที่มีความรู้ ความคิด และความสามารถในการแก้ปัญหานั่นเอง





Tagged: , , ,

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น