ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบอาการกระทำของสกินเนอร์
(Operant
conditioning theory)
Burrhus Frederic
Skinner
ประวัติ
เบอร์รัชเอฟ. สกินเนอร์(BurrhusF.Skinner)
เป็นศาสตราจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดสหรัฐอเมริกา เกิดเมื่อปี
ค.ศ. 1904 เขาเป็นนักการศึกษาและนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงมากท่านหนึ่ง
เขาได้ทดลองเกี่ยวกับการวางเงื่อนไขแบบอาการกระทำ (Operant conditioning) จนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางตั้งแต่ปี ค.ศ.
1935เป็นต้นมา
ต่อมาปี ค.ศ. 1950ในวงการศึกษาสหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤติการณ์ขึ้นประการหนึ่งคือการขาดแคลนครูที่มีประสิทธิภาพเนื่องจากการฝึกหัดครูมีการจัดระบบการศึกษาไม่ดีเท่าที่ควรทำให้ระบบการเรียนการสอนด้อยประสิทธิภาพสกินเนอร์จึงได้พยายามคิดเครื่องมือช่วยสอนขึ้นมาเพื่อปรับปรุงระบบการศึกษามีประสิทธิภาพเครื่องมือที่เขาคิดขึ้นมาสำเร็จเรียกว่าบทเรียนสำเร็จรูปหรือการสอนแบบโปรแกรม
(Program instruction or Program Learning) และเครื่องมือช่วยในการสอน
(Teaching machine)ซึ่งได้รับความสำเร็จอย่างดียิ่งเพราะเป็นที่นิยมใช้แพร่หลายอย่างกว้างขวางในวงการศึกษาต่าง
ๆ ทั่วไปตั้งแต่ปีค.ศ. 1950เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
หลักการเรียนรู้ของทฤษฎี
ทฤษฎีนี้ชื่อว่าการวางเงื่อนไขแบบอาการกระทำดังนั้นจึงเน้นการกระทำของผู้รับการทดลอง
หรือผู้ที่เรียนรู้มากกว่าสิ่งเร้าที่ผู้ทดลองหรือผู้สอนกำหนดกล่าวคือเมื่อต้องการให้อินทรีย์เกิดการเรียนรู้จากสิ่งเร้าใดสิ่งเร้าหนึ่งเราจะปล่อยให้ผู้เรียนรู้เลือกแสดงพฤติกรรมเองโดยเราไม่บังคับหรือไม่บอกแนวทางการเรียนรู้แต่ครั้นเมื่อผู้เรียนรู้แสดงพฤติกรรมการเรียนรู้เองแล้ว
เราจึง “เสริมแรง”พฤติกรรมนั้น ๆ ทันทีเพื่อให้เรียนรู้ว่าพฤติกรรมที่เขาแสดงนั้นเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ถูกต้องหรือเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องนั่นเอง
ถ้ากำหนดให้ S1 เป็นสิ่งเร้าที่ต้องการให้ผู้เรียนรู้เกิดการเรียนรู้
S2 เป็นตัวเสริมแรงหลังจากผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ถูกต้อง
R1 เป็นพฤติกรรมการเรียนรู้
เราสามารถเขียนเป็นไดอะแกรมการเรียนรู้ได้ดังนี้
S2
|
S1
|
R1
|
จากไดอะแกรมอธิบายได้ว่าเมื่อต้องการให้เรียนรู้แบบS1จะมีการตอบสนองออกมาหลายรูปแบบแต่มีแบบเดียวที่ต้องการในการเรียนรู้คือR1เมื่อผู้เรียนรู้แสดงR1จะได้รับแรงเสริม
คือS2ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เรียนรู้พอใจถ้ามีS1อีกเมื่อใดผู้เรียนจะแสดงR1ทันทีโดยคาดหวังว่าจะได้S2ต่อไป
ถ้าจะเปรียบเทียบกับทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
S1 คือ CS
S2 คือ UCS
และ R1 คือ CR นั่นเอง
การทดลอง
ในการทดลองของสกินเนอร์มีกลายการทดลองผู้เขียนใคร่นำมาอธิบายไว้2การทดลองคือ
การทดลองที่1:-การฝึกหนูกดคาน
Skinner’s box (Tntrodution to
psychology-Hilgard, 1971)
แสดงการทดลองการวางเงื่อนไขของ
Skinnerโดยใช้หนูขาวทดลอง
Apparatus for Operant
conditioning (Introduction to Psychology – Hilgrad, 1971)
การทดลองนี้สิ่งที่ใช้ทดลองคือกล่องสกินเนอร์(Skinner’s
box)กับหนูลักษณะสำคัญของกล่องสกินเนอร์ คือ
ก)มีที่ซ่อนอาหารไม่ให้หนูเห็นอาหารในที่นี้คือS2หรือUCS
ข)มีกลไกสำหรับคอยควบคุมหรือปล่อยสิ่งเร้าให้ออกมาตามปริมาณที่ต้องการ
ลำดับขั้นในการทดลอง
ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมการทดลอง
ทำให้หนูหิวมากๆเพื่อสร้างแรงขับ(Drive)ให้เกิดขึ้นตามหลักของดอลลาร์ดและมิลเลอร์อันเป็นแนวทางที่จะผลักดันให้แสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้นและต้องทำให้หนูคุ้นเคยกับกล่องสกินเนอร์
ขั้นที่2
ขั้นทดลอง
เมื่อหนูหิวมาก ๆ สกินเนอร์ปล่อยหนูเข้าไปในกล่องสกินเนอร์หนูจะวิ่งเปะปะและแสดงพฤติกรรมต่าง
ๆ เช่น การวิ่งไปรอบ ๆ กล่องการกัดแทะสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในกล่องในที่สุดบังเอิญเท้าหนูแตะลงที่บนคาน
(ซึ่งเป็น S1หรือ CS)สกินเนอร์จะปล่อยอาหารจากที่ซ่อน (ซึ่งหมายถึงS2หรือ UCS)ลงไปในถาดอาหารซึ่งอยู่ในสกินเนอร์ทันทีหนูก็จะกินอาหารจนอิ่มและสกินเนอร์สังเกตว่าทุกครั้งที่หนูหิวจะใช้เท่าหน้ากดลงไปบนคาน(ซึ่งเป็นR1หรือCR)เสมอ
ขั้นที่3 ขั้นทดวอลการเรียนรู้
จับหนูเข้าไปในกล่องสกินเนอร์อีกหนูจะแสดงอาการกดคานทันทีแสดงว่าหนูเรียนรู้แล้วว่าการกดคานจะทำให้ได้กินอาหาร
สรุปผลการทดลองนี้แสดงว่าการเรียนรู้ที่ดีจะต้องมีการเสริมแรงนั่นเอง
การทดลองที่ 2:-การฝึกนกพิราบให้จิกแป้นสีต่าง ๆ
แสดงการทดลองการวางเงื่อนไขของSkinnerโดยให้รางวัลเมื่อนกพิราบสามารถจิกแป้นสี
ได้ถูกต้อง(Introduction
to psychology – Hilgard, 1971)
การทดลองนี้ประกอบด้วยกล่องสกินเนอร์กับนกพิราบลักษณะพิเศษของกล่องสกินเนอร์
คือ แป้นสีต่าง ๆ และที่ซ่อนอาหาร
ลำดับขั้นในการทดลอง
ขั้นที่ 1
ขั้นเตรียมการทดลอง
ทำให้นกพิราบหิวมาก ๆ
โดยมีจุดประสงค์เช่นเดียวกันกับการทำให้หนูหิวมาก ๆในการทดลองนี้
คือเพื่อสร้างให้เกิดแรงขับมาก ๆ และทำให้นกพิราบคุ้นกับกล่องสกินเนอร์
ขั้นที่ 2 ขั้นทดลอง
เมื่อนกพิราบหิวมาก ๆ
สกินเนอร์ปล่อยนกพิราบเข้าไปในกล่องสกินเนอร์นกจะแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เช่นจิกกล่อง
และของที่อยู่ในกล่องจนกระทั่งจิกแป้นสีที่กำหนดให้เรียนรู้เช่น
สีแดงสกินเนอร์จะกดให้อาหารคือข้างเปลือกลงมาที่ถาดอาหารหน้านกพิราบทันทีทุกครั้งที่นกพิราบจิกแป้นสีแดง
ก็จะได้กินอาหารในที่นี้S1 (หรือ CS)
คือแป้นสีแดง,S2 (หรือ USC)คือข้าวเปลือกและ R1(หรือ CR) คือการจิกแป้นวงกลมสีแดง
ขั้นที่3
ขั้นทดสอบการเรียนรู้
ทุกครั้งที่นกพิราบหิวเมื่อสกินเนอร์นำเข้าไปในกล่องสกินเนอร์นกพิราบจะจิกแป้นสีแดงทันทีแสดงว่านกพิราบเรียนรู้การจิกแป้นสีแดงนั่นเอง
สรุปผลที่ได้จากการทดลองนี้จะเหมือนกับผลการทดลองที่
1
คือการเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการเสริมแรง
อนึ่งก่อนที่จะกล่าวถึงกฎการเรียนรู้ในทฤษฎีนี้ผู้เขียนจะอธิบายคำต่าง
ๆ ในเชิงเปรียบเทียบ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันเสียก่อนและเพื่อความเข้าใจเมื่อเอ่ยถึงคำเหล่านี้ในเรื่องต่อ
ๆ ไป
ก)การจูงใจกับการเสริมแรง
การจูงใจ(Motivation)คือการช่วยทำให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ขึ้นหรือพูดง่าย ๆ
คือสิ่งล่อให้เกิดพฤติกรรมจึงต้องใช้ก่อนที่จะเกิดพฤติกรรมเช่นผงเนื้อบดในการทดลองของพาฟลอฟ เป็นต้น
การเสริมแรง (Reinforcement) คือ การทำให้พฤติกรรมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นแล้วมีคงทนถาวรต่อไปเรื่อย
ๆ เช่น
ข้าวเปลือกในการทดลองของสกินเนอร์
เป็นต้น
จึงต้องใช้หลังจากเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้นั้นแล้ว
ข)กี่เสริมแรงกับการลงโทษ
พอใจ
|
ไม่พอใจ
|
|
ได้รับ
|
การเสริมแรงทางบวก
|
การลงโทษ
|
เอาออกไป
|
การลงโทษ
|
การเสริมแรง
ทางลบ
|
จากไดอะแกรมข้างบน อธิบายได้ดังนี้
การเสริมแรง (Reinforcement)แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1)การเสริมแรงทางบวก
(Positive reinforcement) คือการที่อินทรีย์ได้รับสิ่งเร้าแล้วเกิดความพอใจ
เช่นรางวัล คำชมเชย ฯลฯ
2) การเกิดแรงทางลบ
(Negative reinforcement) คือการที่อินทรีย์ถูกนำสิ่งที่ไม่พอใจออกไป
เช่นการนำเสียงดังหนวกหู เครื่องพันธนาการต่าง ๆ ฯลฯ
ออกไปจากอินทรีย์แล้วเกิดความพอใจ
การลงโทษ (Punishment)
สกินเนอร์กล่าวว่า
การลงโทษเป็นการหยุดยั้งพฤติกรรมเพียงชั่วคราว แต่ไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้ ในทฤษฎีของสกินเนอร์จึงไม่นิยมใช้การลงโทษใช้เพียงแต่การเพิกเฉย
(Ignor-ance) เมื่อเกิดพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา
จากไดอะแกรม การลงโทษแบ่งออกเป็น 2
ประการคือ
1)การลงโทษที่เกิดจากการได้รับสิ่งที่ไม่พอใจ
เช่น คำตำหนิ ฯลฯ
2)การลงโทษที่เกิดจากการนำสิ่งที่พอใจออกไปจากอินทรีย์
เช่น การนำเกรด เอ.ออกไป การเอาขนมออกไปจากปากเด็ก ฯลฯ
กฎการเรียนรู้
กฎการเรียนรู้ของสกินเนอร์คือกฎการเสริมแรงนั่นเองสิ่งที่กล่าวถึงในกฎการเสริมแรง คือ
1 ตารางกำหนดการเสริมแรง
(Schedules of reinforcement) เป็นการใช้กฎเกณฑ์บางอย่าง เช่น
เวลาหรือพฤติกรรม เป็นตัวกำหนดในการเสริมแรง
2 อัตราการตอบสนอง
(Response rate)เป็นการตอบสนองที่เกิดจากการเสริมแรงต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นมากน้อย
นานคงทนถาวรเท่าใด ย่อมแล้วแต่ตารางการเสริมแรงนั้น ๆ เช่น
ตารางกำหนดการเสริมแรงบางอย่างทำให้มีอัตราการตอบสนองมาก,
บางอย่างมีอัตราการตอบสนองน้อย เป็นต้น
ตารางกำหนดการเสริมแรงแบ่งออกเป็น 2 วิธีการใหญ่ ๆ คือ
1. การเสริมแรงทันทีทันใดหรือการเสริมแรงแบบต่อเนื่อง (Immediately or
Continuous reinforcement) หมายถึงการเสริมแรงทุกครั้งเมื่ออินทรีย์แสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ นั่นคือเป็นอัตราส่วน 1:1 เสมอหมายความว่า ถ้าแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ 1 ครั้ง ก็จะเสริมแรง 1 ครั้ง เรื่อย ๆ ไป
เป็นการเสริมแรงอย่างสม่ำเสมอการเสริมแรงเช่นนี้จะใช้เมื่อต้องการให้อินทรีย์เกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว
2. การเสริมแรงเป็นครั้งคราว (Partially reinforcement) หมายถึงการเสริมแรงที่ไม่สม่ำเสมอ
กล่าวคืออาจเสริมแรงบางครั้งที่แสดงพฤติกรรมการเรียนรู้
หรืออาจไม่เสริมแรงบางครั้งที่แสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ สลับกันไป ทั้งนี้ เพราะการเสริมแรงเช่นนี้จะใช้ต่อเมื่ออินทรีย์เกิดการเรียนรู้จากวิธีการเสริมแรงแบบที่
1 แล้ว เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเบื่อหน่าย ซ้ำซาก
จำเจ
แต่จะทำให้พฤติกรรมการเรียนรู้นานคงทนถาวรไปเรื่อย ๆ
เพราะครั้งใดก็ตามที่ไม่ได้รับการเสริมแรงก็ยังคาดหวังว่าจะได้รับการเสริมแรงบ้าง
พฤติกรรมการเรียนรู้จึงยังไม่หยุดชะงักทันทีทันใด
และเมื่อทำท่าจะหยุดชะงักลงก็ยังได้รับการเสริมแรงอีก
การเสริมแรงวิธีนี้ แบ่งเป็น 4 วิธีย่อย
คือ
2.1) การเสริมแรงโดยใช้เวลากำหนดแบบตายตัว (Fixed Interval) เป็นวิธีที่ใช้เวลาที่คงที่กำหนดเป็นมาจรฐานว่าจะให้การเสริมแรงทุก3
นาที, 6 นาที, 9 นาที,
12นาที…ฯลฯ
เขียนเป็นอัตราส่วนได้ดังนี้ 3:1,
6:1, 9:1, 12:1 กล่าวคือ
ถ้าแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ทุก 3 นาที จะได้การเสริมแรง 1 ครั้ง
แสดงอัตราการตอบสนองของหนู เมื่อใช้เวลากำหนดตายตัว (Fixed Intervalเขียนย่อว่า F.I.) จะเห็นว่า
การใช้กำหนดเวลาในช่วงสั้น ๆ จะได้ผลดีกว่า
การใช้กำหนดเวลาในช่วงยาว ๆ คือมีอัตราการตอบสนองสูงกว่านั่นเอง
2.2) การเสริมแรงโดยใช้ผลงานหรือพฤติกรรมกำหนดแบบตายตัว
(Fixed Ratio) เป็นวิธีที่ใช้ผลงานหรือพฤติกรรมการตอบสนองที่คงที่เป็นเกณฑ์ว่าจะให้การตอบสนองเกิดกี่ครั้งจึงจะให้การเสริมแรงหนึ่งครั้ง เช่น
กำหนดว่า ถ้าหนูกดคานทุก 5 ครั้ง, 20 ครั้งหรือ 100 ครั้งจะให้อาหารเป็นตัวเสริมแรง
1 ครั้ง
ซึ่งเขียนเป็นอัตราส่วนได้ดังนี้ 5:1,
20:1หรือ 100:1
เป็นการแสดงอัตราการตอบสนองจากการกำหนดพฤติกรรมการกดคานของหนูเป็นเกณฑ์แบบตายตัว (Fixed Ratio เขียนย่อว่า FR) จะเห็นว่ายิ่งช่วงของพฤติกรรมห่างมากเท่าใด อัตราการตอบสนองยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
นั่นคือการกำหนดพฤติกรรมมากมีผลดีกว่าการกำหนดพฤติกรรมน้อย
2.3)การเสริมแรงโดยใช้ชาวงเวลาเป็นเกณฑ์ (Random or Variable Interval) เป็นวิธีที่ใช้ช่วงของเวลา กำหนดเป็นเกณฑ์ในการให้การเสริมแรงแต่ละครั้ง
เช่น ถ้าหนูกดคานในช่วงเวลา 2-5 นาที จะให้การเสริมแรงหนึ่งครั้ง กล่าวคือเมื่อเวลาผ่านไป 2 นาทีในการเสริมแรง 1 ครั้ง หรือเวลาผ่านไป 3 นาที
ให้การเสริมแรง 1 ครั้ง
หรือเวลาผ่านไป 5 นาทีจะให้การเสริมแรง 1 ครั้ง
ทั้งนี้อาจอยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่งตั้งแต่ 2 ถึง 5
นาที
ไม่กำหนดเวลาแน่นอนลงไปต่างจากวิธีที่ 2.1 ซึ่งกำหนดเวลาแน่นอน
วิธีนี้จะทำให้พฤติกรรมการเรียนรู้เกิดขึ้นนานคงทนกว่า 2 วิธีแรก
เพราะบางทีก็ได้รับการเสริมแรง
บางทีก็ไม่ได้รับการเสริมแรง
และถ้าหยุดแสดงพฤติกรรมเมื่อใด ก็ยังคาดหวังว่าจะได้รับการเสริมแรงอีกพฤติกรรมการเรียนรู้จึงหยุดช้าลง
ทำให้พฤติกรรมการเรียนรู้นั้นนานคงทนถาวรไปเรื่อย ๆ
2.4)
การเสริมแรงโดยใช้ช่วงของพฤติกรรมเป็นเกณฑ์ (Random orVariable
Ratio) เป็นวิธีที่ใช้ช่วงของพฤติกรรมกำหนดเป็นเกณฑ์ในการให้การเสริมแรงแต่ละครั้ง เช่น
ถ้าหนูกดคานในช่วง 3-5 ครั้ง จะได้รับการเสริมแรงคืออาหาร 1 ครั้ง บางครั้งหนูกดคาน 3 ครั้งก็ได้อาหาร 1 ครั้ง บางครั้งหนูกดคาน 3 ครั้งก็ยังไม่ได้อาหาร ต้องกดคานถึง5
ครั้งจึงจะได้อาหาร 1 ครั้ง
ถ้าหนูหยุดกดคานก็ไม่แน่ใจว่าจะได้อาหารอีกหรือไม่และถ้ากดคานไปเรื่อย ๆ
ยังคาดว่าจะได้อาหารอีก ดังนั้นพฤติกรรมการกดคานของหนูจึงหยุดช้าลงและจากผลการทดลอง สกินเนอร์พบว่าวิธีที่ 2.4 ทำให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้นานที่สุด
จะเห็นว่าการเสริมแรงบางครั้งบางคราวแบบเป็นช่วงไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาหรือช่วงพฤติกรรมจะทำให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้สูงสุด
จะเห็นว่าอัตราการตอบสนองจากการเสริมแรงแบบเป็นช่วง
(Variable)ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาหรือช่วงพฤติกรรม จะมีการตอบสนองตลอดเวลา กราฟ จึงออกมาเป็นรูปเส้นตรง
ซึ่งแตกต่างจากการตอบสนองจากการเสริมแรงแบบตายตัว (Fixed) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเวลาตายตัวหรือพฤติกรรมตายตัว จะไม่มีการตอบสนองตลอดเวลาหรือไม่สม่ำเสมอ กราฟจึงออกมาเป็นรูปหยัก แสดงว่าวิธีเสริมแรงแบบเป็นช่วงดีกว่าแบบตายตัว
การนำไปใช้ในการเรียนการสอน
ในวงการศึกษาตั้งแต่ปี ค.ศ.
1950 เป็นต้นมา แนวความคิดของสกินเนอร์ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั้งในสหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง
ๆ ทั่วโลก
จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ในประเทศไทยก็ได้รับอิทธิพลของทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์มาก เห็นได้จากหลักฐานต่าง ๆ ดังนี้
1.มรการใช้การสอนแบบโปรงแกรม
หรือโปรแกรมการเรียนรู้แบบสำเร็จรูปซึ่งเน้นให้ผู้เรียน เรียนด้วยตนเอง
โดยมีคำตอบที่ถูกต้องไว้เป็นการเสริมแรง
ทั้งนี้เป็นการนำหลักของสกินเนอร์ซึ่งประดิษฐ์เป็นเครื่องช่วยสอนขึ้นในปี ค.ศ.
1954 มาใช้
ซึ่งครั้งแรกสกินเนอร์ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อช่วยสอนวิชาเลขคณิตและต่อ ๆ
มาได้ใช้ช่วยสอนวิชาอื่น ๆ ด้วย
เครื่องช่วยสอนของสกินเนอร์ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นคำถาม
อีกส่วนหนึ่งเป็นช่องว่างให้ผู้เรียนเขียนคำตอบ
ถ้าเขียนคำตอบถูกก็จะมีคานกระดกกระดกคำตอบที่ถูกออกมา ถ้าผิดก็จะไม่มีคำตอบจากคานกระดก ต้องย้อนกลับไปทำใหม่จนกว่าจะถูก คำถามมักจะเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก เมื่อผู้เขียนตอบถูกในข้อหนึ่ง ๆ
แล้วก็อยากที่จะเรียนรู้ในข้อต่อ ๆ ไป
2.ใช้สอนวิธีการพูด
ที่เรียกว่าพฤติกรรมทางวาจา (Verble Behavior)ในปี ค.ศ. 1936 สกินเนอร์ได้ผลิตเครื่องบันทึกเสียงเพื่อใช้ฟังเสียงการอ่าน
การพูด ซึ่งเป็นประโยชน์มากในวงการศึกษาทางด้านภาษาต่อมาในปี ค.ศ. 1954 สกินเนอร์ได้แต่งหนังสือชื่อ
“พฤติกรรมทางวาจา” (Verbal Behavior)
มีสาระสำคัญคือ
ก. มนุษย์พูดเพราะมีความต้องการภายในเป็นแรงขับ เช่น
ความหิว ทำให้เด็ก
ร้องขออาหาร
ข. มนุษย์พูดเพราะเลียนแบบผู้อื่น
ค. มนุษย์พูดเพราะได้รับการเสริมแรงที่พอใจ จึงอยากพูดอีก
สกินเนอร์กล่าวว่า
ภาษาพูดเกิดจากการเรียนรู้เมื่อได้รับการเสริมแรง ดังนั้นในปัจจุบัน
การฝึกหัดให้เด็กพูดหรือการสอนพูดโดยใช้การเสริมแรงเป็นวิธีการที่นำทฤษฎีของสกินเนอร์มาใช้
นั่นเอง
3.การใช้พฤติกรรมบำบัด (Behavior therapy)วิธีนี้จะใช้ดัดแปลงพฤติกรรมที่ต้องการโดยใช้การเสริมแรงที่อินทรีย์พอใจ เช่นการสอนให้สุนัขคาบหนังสือพิมพ์มาให้ โดยการให้อาหารคือเนื้อเป็นการเสริมแรง
การสอนให้เด็กขยันทำการบ้านโดยการเขียนชื่อผู้ส่งการบ้านติดไว้บนบอร์ดให้บุคคลทั่วไปมองเห็น เพื่อยกย่องชมเชย เป็นต้น วิธีนี้ใช้มากในปัจจุบัน และใช้ได้ในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นวงการศึกษาหรือวงการแพทย์ ในวงการศึกษา
เป็นการดัดแปลงพฤติกรรมให้มนุษย์เกิดการเรียนรุ้
โดยการเสริมแรง
ในวงการแพทย์เป็นการรักษาคนไข้โรคจิตให้แสดงพฤติกรรมเป็นที่ยอมรับของสังคมโดยการเสริมแรงไม่ใช่การลงโทษเช่นสมัยก่อน
4.การใช้กฎการเรียนรู้ทั้งสองกฎในการเรียนรู้
กฎที่ 1 คือกฎการเสริมแรงทันทีทันใด
มักใช้เมื่อต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เช่น ทุกครั้งที่เด็กตอบคำถามถูกเราจะรีบเสริมแรงทันที ได้แก่การกล่าวชม หรือได้รางวัลเป็นสิ่งของ
กฎที่ 2 คือการเสริมแรงเป็นครั้งเป็นคราว
มักใช้เมื่อต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้นานต่อไปเรื่อย ๆ
โดยอาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งใน 4 วิธี
(ดังรายละเอียดที่กล่าวไว้ในข้อ 2.1
– 2.4)แล้วแต่ความเหมาะสมของผู้เรียนและโอกาสที่จะใช้ ผู้เขียนเคยทดลองใช้กับเด็กในระดับประถม,มัธยมและอุดมศึกษา พบว่า วิธีที่
2.1 เหมาะสำหรับเด็กชั้นประถม
วิธีที่ 2.2 เหมาะสำหรับเด็กชั้นมัธยม
และวิธีที่ 2.3 และ 2.4
เหมาะสำหรับเด็กชั้นอุดมศึกษา โดยเฉพาะพวกที่มีระดับเชาวน์ปัญญาค่อนข้างสูงกว่าระดับปกติ
ข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับทฤษฎีของสกินเนอร์
ข้อโต้แย้ง
1. นักจิตวิทยาบางคนไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีของสกินเนอร์
เพราะทดลองกับสัตว์มิได้ทดลองกับมนุษย์โดยตรง
การเรียนรู้บางอย่างกับสัตว์จึงอาจแตกต่างกันได้ถ้านำมาใช้กับมนุษย์
2. ภายหลังที่สกินเนอร์นำคนมาทดลอง
ก็ถูกโต้เย้งว่าใช้คนน้อยเกินไป ไม่เป็นตัวแทนที่จะอธิบายถึงคนทั่ว ๆ ไปได้ดี
3. วิธีการของสกินเนอร์อาจใช้ได้ดีในวงการครูเท่านั้น
อาจใช้ได้ไม่ดีในวงการวิทยาศาสตร์
ข้อสนับสนุน
1. นักจิตวิทยาส่วนใหญ่เชื่อกันว่า
วิธีการเสริมแรงทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี
2. แนวความคิดของสกินเนอร์คล้ายกับแนวความคิดของกัทธรี
(Guthrie) และวัตสัน(Watson) คือเน้นรายละเอียดของสภาพการณ์การฝึกให้เกิดการเรียนรู้
และสนใจพฤติกรรมภายนอกมากกว่าพฤติกรรมภายใน
แต่การทดลองของสกินเนอร์ก็ยังก้าวหน้ากว่าการทดลองของกัทธรีและวัตสัน
3. แบนดูรา (Bandura) เป็นอีกผู้หนึ่งที่สนับสนุนแนวความคิดของสกินเนอร์ ที่ว่า
การกระทำใดที่ได้รับการเสริมแรง
จะมีแนวโน้มให้เกิดการกระทำนั้นอีก
ส่วนการกระทำที่ไม่ได้รับการเสริมแรง
ย่อมมีแนวโน้มที่จะทำให้ความถี่ของการกระทำนั่นค่อย ๆ ลดลง
และหายไปในที่สุด
มาใช้ในการปรับพฤติกรรมของเด็กในชั้นเรียน
โดยใช้การเสริมแรงต่อพฤติ-กรรมที่ปรารถนา เช่น การตอบคำถาม
และไม่ใช้การเสริมแรงเมื่อนักเรียนแสดงพฤติกรรมไม่พึงปรารถนา เช่น
การพูดโกหก
การแสดงอาการก้าวร้าวไม่เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ ฯลฯ
พฤติกรรมดังกล่าวจะลดลงจนในที่สุดจะหายไป
แบนดูราเสนอวิธีการปรับพฤติกรรมโดยยึดหลักการเรียนรู้ของสกินเนอร์ได้
2
ประการ ดังนี้
(1)
ให้การเสริมแรงต่อพฤติกรรมที่พึงปรารถนา
(2) ไม่ให้การเสริมแรงต่อพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา
นอกจากนี้ ยังเสนอการปรับลำดับขั้นของการปรับพฤติกรรมดังนี้
(1) ตั้งวัตถุประสงค์ในการปรับพฤติกรรม
ว่าต้องการให้เกิดพฤติกรรมใดบ้าง
(2) เลือกโอกาสในการเสริมแรง
ว่าโอกาสใดควรใช้การเสริมแรงทางบวก, การเสริมแรงทางลบ
หรือเมื่อใดไม่ให้การเสริมแรง
(3) สังเกตและทำบันทึกว่า บุคคลนั้น
ๆน มีสภาพการณ์ใดที่เหมาะสมกับการให้การเสริมแรง
และเมื่อใดที่ไม่ควรให้การเสริมแรง
(4) มีการติดตามผล
โดยการตรวจสอบผลที่ได้จากการทดลอง ถ้าได้ผลตามที่ตั้งจุดประสงค์เอาไว้ หแสดงว่าวิธีการที่ใช้มีประสิทธิภาพ
แต่ถ้าไม่ได้ผลต้องทำการศึกษาเพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไป
การเสริมแรงในการปรับพฤติกรรม เน้นที่การใช้การเสริมแรงทางบวก มากที่สุด เนื่องจากมีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค และแบบอาการกระทำกันอย่างกว้างขวาง จึงได้นำมาเปรียบเทียบไว้ในตารางที่ 10 ดังนี้
ตารางที่
เปรียบเทียบการเรียนรู้ระหว่างการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกกับแบบอาการกระทำ
ที่
|
เนื้อเรื่อง
|
การวางเงื่อนไข
แบบคลาสสิค
|
การวางเงื่อนไข
แบบอาการกระทำ
|
1.
|
หลักการเรียนรู้
|
-ใช้สิ่งเร้า 2 สิ่งคู่กัน เพื่อให้
เกิดการเรียนรู้ ดังไดอะแกรม
|
-ใช้สิ่งเร้าสิ่งเดียว
ให้เกิดการ
เรียนรู้ เมื่อแสดงพฤติกรรมการ
เรียนรู้ แล้วจึงให้การเสริมแรง
ดังไดอะแกรม
UCS
|
2.
3.
|
การทดลอง
กฎการเรียนรู้
|
- UCS คือการจูงใจเพราะใช้
ก่อนเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้
-ใช้สุนัขทดลอง โดยดูการ
ตอบสนองจากปฏิกิริยาสะท้อน
(Reflex) ซึ่งเป็นการทำงาน
ของระบบประสารทอัตโนมัติ
(Autonomic nervous
system) ซึ่งทำแบบไม่จงใจ
เป็นไปโดยอัตโนมัติ
-เน้นการนำสิ่งเร้าที่คล้ายคลึง
กันมาทำให้เกิดพฤติกรรมอย่าง
เดียวกัน และนำสิ่งเร้าที่แตก
ต่างกันมาทำให้เกิดพฤติกรรมที่
แตกต่างกันออกไป
นั่นคือเน้นสิ่งเร้ามากกว่า
การตอบสนอง
จึงเรียกว่า
S-S
theory
|
-UCS คือการเสริมแรงเพราะ
ใช้หลังจากเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้
- ใช้หนูหรือนกพิราบทดลอง
โดยดูการตอบสนองจาก
พฤติ-
กรรมที่จงใจกระทำเอง จากผู้
เรียนรู้ อันเป็นการทำงานของ
ระบบประสาทส่วนกลาง
(Central nervous
system)
-เน้นการเสริมแรงที่อินทรีย์
พอใจ เมื่อต้องการดัดแปลง
พฤติกรรมที่ต้องการ
นั่นคือเน้นการตอบสนอง
มากกว่าสิ่งเร้า
จึงเรียกว่า S-R theory
|
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของสกินเนอร์สามารถนำไปใช้ในการจัดการศึกษาและการเรียนการสอน
ได้ดังนี้
1. ใช้เสริมแรงให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมความกล้าแสดงออก
เช่น กล่าวยกย่องชมเชย เมื่อผู้เรียนกล้าตอบคำถาม เป็นการเสริมแรงโดยใช้คำพูด จะช่วยปลูกฝังนิสัยที่ดีแก่ผู้เรียนได้
โดยการเสริมแรงต้องทำบ่อยๆเสมอๆ
จนผู้เรียนติดเป็นนิสัยและมีพฤติกรรมที่ดีติดตัวตลอดไป
2.
ใช้ในการแก้ปัญหาพฤติกรรมเด็กที่ขี้อายขาดความมั่นใจ ไม่ค่อยชอบเข้าสังคมโดย
โดยให้ความสนใจ พูดคุยด้วย
เมื่อผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน
แต่หากผู้เรียนไม่เข้ากลุ่มหรือไม่ร่วมกิจกรรมกับเพื่อนในชั้นเรียน
ครูจะไม่สนใจไม่พูดคุยด้วย ครูทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
พร้อมกับสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ผู้เรียนมีพฤติกรรมดีขึ้นตามที่ผู้สอนต้องการสามารถแก้ไขพฤติกรรมการขาดความมั่นใจไม่ชอบเข้าสังคมของผู้เรียนได้
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ