-
ระดับปฐมวัย การพัฒนาการของผู้เรียนในระดับนี้ จะเริ่มทำกิจกรรม
และใช้ภาษาในการสื่อสารกับผู้อื่นได้มากขึ้น อวัยวะต่าง ๆ
ยังไม่สามารถที่จะทำงานสอดคล้องกันมากนัก
ผู้สอนควรที่จะจัดกิจกรรมสร้างเสริมให้ผู้เรียนมีความพร้อมทั้งทางร่างกาย อารมณ์
สังคม และสติปัญญา ผู้เรียนในวัยนี้ยังมีความคิดความเข้าใจที่เกี่ยวกับการรับรู้ทางตาเท่านั้น
ยังไม่สามารถเข้าใจด้วยเหตุผลได้ ซึ่งการจัดการเรียนการสอนนั้น
อาจจะให้อยู่ในรูปแบบของการสร้างความคิดรวบยอดให้กับสิ่งต่าง ๆ
โดยใช้การรับรู้ลักษณะภายนอกที่เด่นชัด จำแนกแยกแยะจัดหมวดหมู่จากภาพที่เห็น การพัฒนาทางอารมณ์นั้นเด็กจะเลียนแบบการแสดงท่าทางจากพ่อ
แม่ ครู อาจารย์เป็นต้น เด็กต้องการเป็นตัวของตัวเอง
การยอมรับและความเอาใจใส่ช่วยการวางรากฐานทางอารมณ์ และปรับตัวได้อย่างเหมาะสม
ควรยอมรับอารมณ์ความรู้สึกของเด็ก ควรหลีกเลี่ยงการลงโทษทั้งทางร่างกาย และจิตใจ
เด็กที่ได้รับการดูแลให้ความรู้สึกอิ่มอุ่น หรือสบาย
ย่อมเชื่อมโยงระหว่างความรู้สึกเป็นสุข ความรัก และความผูกพันกับคนเหล่านั้น
และบางครั้งความกลัวของเด็กก็อาจจะเกิดจากการวางเงื่อนไข
ส่วนอารมณ์โกรธอาจเกิดจากข้อจำกัดทางร่างกาย หรือการไม่เข้าใจความคิดของผู้อื่นก็อาจทำให้เกิดความขัดแย้งคับข้องใจ
เด็กมักใช้จินตนาการสร้างการตอบสนองต่อตนเอง เช่นการสร้างเพื่อนในความคิด
แต่ยังไงเด็กก็ยังต้องการการดูแล จากผู้ใหญ่ด้วยการซักถาม ออดอ้อน เอาใจเป็นต้น
เด็กเริ่มมองเห็นความแตกต่างระหว่างเพศชายและเพศหญิง ส่วนมากเด็กเลียนแบบบทบาทผู้ที่ตนประทับใจเพศเดียวกับตน
เด็กอาจเรียนรู้จากการสั่งสอนอบรมและจากการสังเกต เป็นรากฐานการแสดงออก
จากที่เด็กชอบเล่นตามลำพังในช่วงอายุ 2 – 3 ขวบ ต่อมาเด็กจะเล่นอยู่ในกลุ่มเพื่อน
โดยที่ยังไม่เล่นด้วยกันในช่วงอายุ 3 – 4 ขวบ
หลังจากนั้นเด็กจึงจะเรียนรู้ที่จะเล่นด้วยกัน
จนถึงขั้นของการสร้างมิตรภาพกับผู้อื่นในช่วง 4 – 5 ขวบ
ในระยะนี้เด็กจะได้เรียนรู้
พัฒนาจากการที่สนใจแต่ตนเองไปสู่การเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนมากขึ้น
เรียนรู้การให้ และการรับ การผูกมิตรกับเพื่อน ๆ เด็กรวมกลุ่ม
และหมุนเวียนกันเป็นผู้นำตามความสามารถ สามรถปรับตัวทางสังคมได้อย่างเหมาะสม
อยากทดลองทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองอย่างอิสระ เริ่มรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง
เด็กมนระยะนี้จึงควรได้รับโอกาส และการสนับสนุนตามความถนัด ความสามารถ ความสนใจ
ที่รู้สึกว่าตนเองมีความสามารถ ก้อให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง เด็กวัยอนุบาลสามารถเรียนรู้ได้จากประสาทสัมผัส
ประสบการณ์ตรงของตนเอง ยึดตนเองเป็นหลัก ยังไม่เข้าใจความคิดความรู้สึกของคนอื่น
ไม่รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เด็กเริ่มเข้าใจในสิ่งแวดล้อม
และเขาเพิ่งได้รู้จักใช้ความสามารถทางร่างกายจึงทำให้เขากระตือรือร้นที่จะแสดงความสามรถเหล่านั้นออกมา
เด็กสามารถคิดเปรียบเทียบ จัดลำดับ แยกหมวดหมู่ได้บ้าง
แต่ยังไม่เข้าใจเรื่องน้ำหนัก ปริมาตร ปริมาณของวัตถุ
ดังนั้นจึงควรให้โอกาสเด็กสำรวจเรียนรู้ และมีประสบการณ์ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
อย่างเหมาะสม ซึ่งการได้รับคำชมเชยความสามารถที่เป็นจริงทำให้มั่นใจ
ภาคูมิใจที่จะพัฒนาความสามารถของตนเองให้มากขึ้น การฝึกทักษะการใช้ประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวของร่างกายช่วยกระตุ้นให้ก่อเกิดความคิด
ระยะนี้เด็กจะเริ่มเรียนรู้ และเจ้าใจเรื่องจริยธรรมคิดว่าสิ่งที่ถูกต้องคือทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่ชมหรืออนุญาต
และมองสิ่งที่ไม่ถูกต้องคือสิ่งที่ผู้ให้ห้าม หรือการกระทำที่ทำแล้วจะถูกลงโทษเด็กในวัยนี้จะเรียนรู้การแสดงออกตามความสามารถ
และเริ่มมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ครูควรปล่อยให้เกิดการพัฒนาตามวัยให้มากที่สุด
ในทางกลับกันหากมีการเร่งรัดให้เด็กเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับพัฒนาการของวัยแล้วก็จะไม่เป็นผลดีกับเด็ก
- ระดับประถมศึกษา การพัฒนาการของผู้เรียนในระดับนี้
สามารถที่จะฝึกทำสิ่งต่าง ๆ และสร้างทักษะด้วยตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการเล่น
การเรียน หรือการทำงานร่วมกับเพื่อน ตลอดจนการสร้างมิตรภาพกับเพื่อน ๆ
ที่มีความสนใจเหมือน ๆ กันระบบกล้ามเนื้อ
และการเคลื่อนไหวเรื่องมีการทำงานประสานกันดีขึ้น
ในวัยนี้นั้นสามารถที่จะจัดเรียงลำดับได้ดีขึ้น
นับว่าเป็นขั้นของการวางรากฐานของการศึกษา จำเป็นต้องพัฒนาทักษะในการแสวงหาความรู้จากการฟัง
พูด อ่าน เขียน คิด ผู้เรียนสามารถที่จะเข้าใจ และคิดเชิงเหตุผลได้
จึงสามารถที่จะเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ คณิตศาสตร์
เริ่มคิดในสิ่งที่เป็นนามธรรม และเน้นการพัฒนาการทางภาษาควบคู่ไปด้วย
โดยเด็กในวัยนี้มีพัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อ และระบบประสาทที่ก้าวหน้ามาก
ลักษณะทางร่างกายทั่งไปอยู่ในช่วงอายุประมาณ 7 – 8 ขวบนั้น
เด็กจะมีการพัฒนาการเจริญเติบโตช้าแต่สม่ำเสมอ กระดูกมือยังไม่แข็งแรง
ฟันน้ำนมจะหลุดออกโดยมฟันแท้งอกออกมาแทนที่ รูปร่างสูงเพรียวกว่าเดิม ลำตัวยาว
แขนขายาวออก รูปร้างเริ่มเปลี่ยนแปลงแบบลักษณะผู้ใหญ่
ระบบหมุนเวียนโลหิตเจริญเติบโตอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะเด็กชายสามารถใช้กล้ามเนื้อใหญ่
และกล้ามเนื้อย่อยคล่องแคล่วมากกว่าวัยอนุบาล
และมีทักษะการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อได้ดี ชอบทำกิจกรรม ชอบออกกำลังกาย
และเล่นกีฬากลางแจ้งที่ต้องใช้ความรวดเร็ว ทั้งนี้พัฒนาการด้านส่วนสูง
และน้ำหนักของเด็กแต่ละคนอาจเป็นผลจากพันธุกรรม หรือสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
และสังคม ประสาทสัมผัสของเด็กวัยนี้สามารถที่จะทำกิจกรรมที่มีรายละเอียดได้ เช่น
การวาดรูป ระบายสี ปั้นรูป เป็นต้น เด็กสามารถทำกิจกรรมจ่าง ๆ ด้วยตัวเองได้ การใช้เวลาส่วนใหญ่จะหมดไปกับเพื่อนเป็นกลุ่ม
เด็กชายชอบเล่นกีฬา ชอบการต่อสู้ไล่จับ และการแสดงโลดโผน ลักษณะทางอารมณ์
เด็กเริ่มลดความคิดที่ว่าตนเองเป็นศูนย์กลาง
สามารถทำความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นมากขึ้น ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
เด็กในวัยนี้เริ่มเรียนรู้การแสดงออกที่เหมาะสม ได้รับการยอมรับเมื่อเกิดอารมณ์
มีการเรียนรู้การปรับอารมณ์ความรู้สึก
ในวัยนี้การได้เป็นสมาชิกของกลุ่มจะมีอินทธิพลต่อพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กเป็นสำคัญ
เด็กจะเริ่มเรียนรู้ว่าการแสดงอารมณ์ที่ตนเองรู้สึกโดยเลือกเวลา สถานที่ บุคคล
ทั้งนี้ความสามารถควบคุมอารมณ์ขึ้นอยู่กับการฝึกอบรม จากงานวิจัยได้กล่าวว่า
วัยประถมศึกษาเป็นวัยที่ผู้ใหญ่ส่วนมากจะระบุว่าเป็นวัยที่มีความสุขที่สุด
แม้ว่าวันรุ่นบางคนยังอยากจะกลับไปอยู่ในวัยประถม
เด็กแสดงอารมณ์ความรู้สึกอย่างเปิดเผย เรียงร้องความรักความสนใจจากครู
ด้วยการช่วยทำกิจกรรมต่าง ๆ ในระยะนี้ เด็กจะเรียนรู้เกี่ยวกับตนเองมากขึ้น
เข้าใจอารมณ์ของตนเอง รู้จักควบคุมอารมณ์
ความรู้สึกและแสดงออกอย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้นตามควรแก่วัย ในช่วงวัยนี้
เด็กมีความกลัวที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล มากกว่าวัยเด็กเล็ก
เพราะเด็กมีพัฒนาการด้านความคิดที่มีเหตุผลมากขึ้น
มีความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น เด็กอาจเกิดความรู้สึกด้านลบต่อสิ่งต่าง ๆ
หากตนเองถูกขัดขวางไม่ให้ไปถึงเป้าหมาย
เด็กอาจหนีปัญหาด้วยการใช้กลไกในการป้องกันตัว
เช่นการโทษว่าสิ่งที่ผิดพลาดนั้นตนเองไม่ได้ทำ
แต่เป็นการกระทำความผิดพลาดของผู้อื่นเป็นต้น การพัฒนาทางสังคมนั้น
เด็กเริ่มให้ความสำคัญกับอาจารย์ ก่อนที่จะก้าวต่อไปสู่เพื่อนในวัยรุ่น
เด็กต้องการเรียนรู้การใช้ชีวิตที่เป็นอิสนะ ทั้งเด็กผู้ชาย และเด็กผู้หญิง
พอใจที่จะแยกตัวออกจากเพศตรงข้ามตั้งกลุ่มกับเพื่อนเพศเดียวกัน ร่วมกันสร้างกฎเกณฑ์
ค่านิยม และบรรทัดฐานที่คนในกลุ่มยอมรับ
เด็กเรียนรู้การดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น เริ่มเรียนรู้บทบาททางสังคมของตนเอง
การปรับตัวเข้ากับเพื่อเพศเดียวกันวัยเดียวกัน ได้รับอิทธิพลด้านความคิด เจตคติ
ค่านิยมจากกลุ่ม ในบางกรณีค่านิยมของกลุ่มอาจขัดแย้งกับค่านิยมเดิม
เด็กเรียนรู้จากการสังเกตเพื่อในวัยเดียวกับตนและเลียนแบบจากผู้ใหญ่เพศเดียวกัน เด็กเริ่มมีความรับผิดชอบมากขึ้น
เด็กจะเลือกหัวหน้ากลุ่มโดยดูจากความสามารถ และลักษณะของกิจกรรม
เด็กเรียนรู้การปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมวัย ส่วนใหญ่เล่นกิจกรรมตามจินตนาการ
หรือบทบาทสมมุติมากกว่าการเล่นแบบแข่งขัน กลุ่มเพื่อนร่วมวัยเริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างมาก
และจะทวีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ
เด็กจะรู้สึกสนุกสนานอบอุ่นใจเมื่อตนมีส่วนร่วมในกลุ่ม
รู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของกลุ่ม
ขณะเดียวกันเด็กจะคลายความผูกพันระหว่างตนเองกับครู และผู้ใหญ่ ทั้งในและนอกบ้าน เด็กได้รับอิทธิพลจากกลุ่มเพื่อนในด้านอารมณ์
ความคิด เจตคติ ค่านิยม ความมุ่งหวัง หรือแม้แต่การแสดงออกตามบทบาททางเพศ ฯลฯ
เด็กในวัยนี้ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเข้ากลุ่มทำให้เด็กพยายามปรับตัวให้เพื่อนในกลุ่มยอมรับ
บางคนเป็นผู้นำ บางคนเป็นผู้ตาม บางคนพูดเก่ง บางคนเป็นผู้ฟัง
เป็นต้นวัยเด็กตอนปลายรวมกลุ่ม เป็นเพศชายทั้งกลุ่มหรือเพศหญิงทั้งกลุ่ม
มีวัฒนธรรมของกลุ่ม ภาษา กฎ ระเบียบเป็นแนวทางการปฏิบัติตามวัฒนธรรมกลุ่ม
เด็กวัยนี้เรียนรู้บทบาททางเพศต่อเนื่องมาจากวัยเด็กตอนต้น
เริ่มด้วยการเลียนแบบบทบาททางเพศจากผู้ใกล้ชิด คนในครอบครัวคนที่ตนประทับใจ
เด็กชายมักไม่ยอมให้เด็กชายที่มีนิสัยเหมือนเด็กหญิงเข้ากลุ่ม เช่น ขี้กลัว
ช่างฟ้อง งอแง
ส่วนกลุ่มเด็กหญิงจะกีดกันเด็กหญิงที่มีลักษณะที่ดูเหมือนเด็กชายเช่น ก้าวร้าว
หยาบคาย เป็นต้น ลักษณะทางสติปัญญาของเด็กในวัยนี้มีพัฒนาการอยู่ในขั้นของการเริ่มมีความคิดความเข้าใจ
ความสามารถในการแก้ปัญหาเชิงรูปธรรม เช่น
สามารถเข้าใจเกี่ยวกับการคงสภาพเดิมของน้ำหนัก (อายุประมาณ 6 ปี)
เข้าใจเกี่ยวกับการคงสภาพเดิมของปริมาณ (อายุประมาณ 7 ปี)
เข้าใจเกี่ยวกับการคงสภาพเดิมของปริมาตรของวัตถุ (อายุประมาณ 5 ปี) ทั้งนี้เด็กยังมีความสามารถที่จะจัดเรียงลำดับได้ดีขึ้น
ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาของการวางรากฐานของการศึกษา
พัฒนาทักษะในการแสวงหาความรู้จากการฟัง พูด อ่าน เขียน คิด
ทั้งในแนวกว้างและแนวลึกตามวัย สามารถที่จะเข้าใจและสามารถคิดเชิงเหตุผล
แยกหมวดหมู่ จัดลำดับ เรียงลำดับจากเล็กไปหาใหญ่ สามารถคิดย้อนกลับไปมาได้ สามารถที่จะเข้าใจความหมาย
สัญลักษณ์ คณิตศาสตร์ เริ่มคิดในสิ่งที่เป็นนามธรรม
พัฒนาการทางภาษามีความเจริญก้าวหน้าขึ้นไปอย่างมาก ตัวอย่างเช่น
ความสามารถในการเรื่องจำนวนว่ายังคงที่แม้ว่าวัตถุจะวางอยู่ห่างกัน
การสลับที่ของวัตถุไม่ทำให้จำนวนหรือความยาวเปลี่ยนไป พื้นที่ของกระดาษครึ่งแผ่นเท่ากับพื้นที่ของกระดาษครึ่งแผ่นเดิมก่อนถูกตัด
ดินน้ำมันสองก้อนมีน้ำหนักเท่ากันแม้ว่าจะกดก้อนหนึ่งให้แบนออกไป
สามารถจัดหมวดหมู่สิ่งต่าง ๆ เป็นหลายมิติ มีความเข้าใจการคงสภาพของสสาร ปริมาณ
น้ำหนัก สามารถจัดเรียงลำดับ ครอบครัวและสังคมคาดหวังว่าเด็กจะต้องเรียนรู้อย่างจริงจังมากกว่าวัยอนุบาล
ควรอ่านหนังสือออก คิดเลขได้และมีความรู้รอบตัวที่สามารถพึ่งตนเองได้
ดังนั้นครูและนักจิตวิทยาจึงควรให้ความสำคัญกับเด็กที่ผลการเรียนไม่สอดคล้องกับความสามารถทั้ง
ๆ ที่ไม่มีความบกพร่องทางสติปัญญา แต่อาจมีความบกพร่องที่มองไม่เห็นโดยตรง
- ระดับมัธยมศึกษา การพัฒนาการของผู้เรียนในระดับนี้
อยู่ในช่วงของวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญในการปรับตัว
เริ่มที่จะมีความรับผิดชอบตนเอง มีการเจริญเติบโตของร่างกายไปอย่างรวดเร็ว
เริ่มมีการแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างชัดเจน เมื่อลักษณะทางร่างกายเจริญเติบโตจนสามารถทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์
ลักษณะทางเพศขั้นปฐมภูมิและทุติยภูมิ
ร่างกายของวัยรุ่นจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วรูปร่างทรวดทรงเปลี่ยน
โดยที่แสดงถึงความเป็นหญิงความเป็นชายอย่างเต็มที่
เป็นการเปลี่ยนจากเด็กที่ไม่มีความสมบูรณ์ทางเพศไปสู่ความสมบูรณ์ทางเพศที่พร้อมจะสืบพันธุ์ทางร่างกายได้
อวัยวะเพศเติบโตเต็มที่และพร้อมที่จะทำหน้าที่ได้เช่นเดียวกับวัยผู้ใหญ่
ลักษณะความเจริญเติบโตของร่างกายภายนอก
โครงสร้างของร่างกายส่วนกระดูกและฟันเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปกระดูกของเพศหญิงเติบโตเต็มที่เมื่ออายุประมาณ
17-18 ปี ส่วนเพศชายเติบโตเต็มที่เมื่ออายุประมาณช้ากว่าประมาณ 2 ปี คืออายุประมาณ
19-21 ปี ในด้านพัฒนาการเกี่ยวกับฟันของวัยรุ่นนั้น
เมื่อเริ่มเข้าสูวัยรุ่นนั้นเพศชายและหญิงมีฟันแท้ 28 ซี่
จนเมื่อสิ้นสุดวัยรุ่นก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จึงมีฟันแท้ครบ 32 ซี่ ส่วนพัฒนาการด้านลำตัว
รูปร่างหน้าตา ทรวดทรงเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ลำตัว ขา มือ เท้าพัฒนาขึ้น
เพศหญิงจะมีกระดูกเชิงกรานขยายตัวออกทำให้เอวคอดสะโพกขยายออก หน้าอกขยายขึ้น
เด็กชายมีกระดูกหัวไหล่ขยายตัวทำให้ไหล่กว้างขึ้น เสียงต่ำลง มีหนวดเครา เป็นต้น ลักษณะของสรีระวิทยาภายในร่างกายได้รับอิทธิพลจากต่อมไร้ท่อทั้งต่อมใต้สมอง
และต่อมเพศหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของระบบประสาทและสมอง
ทำให้เด็กวัยรุ่นสามารถรับรู้ เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
เชาว์ปัญญาพัฒนาขึ้นมาก ส่วนระบบย่อยอาหารจะพัฒนาการให้รับกับพลังงานจากการรับประทานอาหารได้อย่างสอดคล้องและสมบูรณ์
การพัฒนาการทางสังคม เด็กวัยนี้ได้รับอิทธิพลจากกลุ่มเพื่อน
เป็นวัยของการทำกิจกรรมอันเป็นรากฐานของการสร้างสัมพันธภาพทางสังคมในอนาคต
การแสวงหาประสบการณ์จากการทำกิจกรรม ต่าง ๆ ในบทบาทของผู้นำ ผู้ตามในกลุ่มซึ่งช่วยให้เด็กวัยรุ่นได้สำรวจคุณลักษณะ
ความถนัด ความสนใจ ทัศนคติ ค่านิยม ภาพสะท้อนของตนเองจากบุคคลที่แวดล้อม เช่น
กลุ่มเพื่อน ครู บิดามารดา
เป็นส่วนหนึ่งที่สังคมเอื้ออำนวยให้วัยรุ่นได้เห็นเอกลักษณ์ของตนเอง
และตำแหน่งทางสังคมที่ตนเองดำรงอยู่เด็กวัยรุ่นจะเกิดความเข้าใจในบทบาททางสังคมของตนเองที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
เด็กวัยรุ่นให้ความสนใจ และยกย่องบุคคลที่ตนให้คุณค่า และพยายามเลียนแบบบุคคลนั้น
การเข้าสู่สังคมมีความหมายต่อวัยรุ่นมากกว่าวัยเด็กเพราะไม่ใช่เพียงการแสวงหาการยอมรับจากเพื่อนในกลุ่มเท่านั้นแต่หมายถึงการมีส่วนได้รับการมีส่วนร่วมเสมือนการเป็นเจ้าของบ้าน
การมีกลุ่มสนับสนุนทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยพอที่จะแยกออกจากครอบครัวมาเปิดรับประสบการณ์ใหม่ในสังคม
เรียนรู้บทบาททางสังคมของการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในกลุ่มที่เป็นเสมือนตัวแทนของสังคมใหญ่ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่
วัยรุ่นเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพ
ความสามารถพึ่งตนเองเป็นอิสระจากพ่อแม่วัยรุ่นต้องการให้ผู้ใหญ่ปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียมกับผู้ใหญ่
ไม่ต้องการให้ผู้ใหญ่ปฏิบัติต่อตัวเอง เช่น
เด็กเล็กๆอีกต่อไปหากผู้ใหญ่ไม่ใช้เหตุผลแต่ใช้อำนาจบังคับวัยรุ่นจะดื้อดึงทำในสิ่งตรงกันข้าม
วัยรุ่นกับเพื่อนวัยเดียวกันเด็กให้ความสำคัญกับกฎและบรรทัดฐานของกลุ่ม
เป็นวัยที่ได้รับอิทธิพลจากกลุ่มเพื่อนค่อนข้างมาก
วัยรุ่นที่รู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถ
เห็นคุณค่าตนเองน้อยคล้อยตามและมักจะทำตามความคาดหวังของกลุ่ม
เด็กที่เพื่อนถือเป็นแบบคือผู้ที่เป็นผู้นำมีความสามารถที่กลุ่มยอมรับ
มีบุคลิกภาพดึงดูดใจ สามารถให้รางวัลและลงโทษได้ วัยรุ่นแสวงหาเอกลักษณ์ของตนเอง
เริ่มจากเลือกคนที่มีชื่อเสียงเป็นบุคคลในอุดมคติ อาจเป็นดาราภาพยนตร์ นักกีฬา
แล้วพยายามพัฒนาตนตามนั้น แสวงหาประสบการณ์จาก การทำกิจกรรมนอกหลักสูตร
การเล่นกีฬา เป็นต้น เพศหญิงเริ่มสนใจเพศตรงข้ามก่อนเพศชาย
การปรับตัวกับเพศตรงข้าม ควรให้วัยรุ่นรู้สึกว่าผู้ใหญ่รัก ปรารถนาดีพร้อม ๆ
กับเชื่อมั่นไว้วางใจ การตรวจสอบค่านิยมและเจตคติอาจทำให้เกิดความขัดแย้ง
กับค่านิยม ประเพณีวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่เดิม สมองของวัยรุ่นเจริญเกือบเท่าวัยผู้ใหญ่ตอนต้น
มีพัฒนาการทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
สามารถเรียนรู้สิ่งที่เป็นเรื่องซับซ้อนนามธรรม
สามารถคิดนามธรรมได้โดยไม่ต้องมีวัตถุเป็นสื่อ
สามารถที่จะตั้งสมมุติฐานคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ แก้ไขปัญหาได้
มีความคิดแบบอุดมคติ วัยรุ่นมีความเข้าใจเรื่องค่านิยมและเลือกค่านิยมที่สอดคล้องกับตนเองมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต
เป็นวัยที่มีศักยภาพสูง ต้องการแสดงความเป็นตัวของตัวเอง ต้องการอิสระในการแสดงออก
สามารถคิดนามธรรมโดยไม่ใช้วัตถุเป็นสื่อได้ สามารถคิดรวบยอด วิเคราะห์ ตีความหมาย
ตั้งสมมติฐานเพื่อแสวงหาความเป็นจริง พัฒนาความคิดเชิงอุดมคติที่เข้มข้น
มีพลังศักยภาพสูง ต้องการอิสระในการแสดงความคิดเห็น สิ่งแวดล้อม
ที่เหมาะสมจะส่งเสริมสนับสนุนให้สติปัญญาที่ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากพันธุกรรมได้เจริญงอกงามอย่างเต็มที่
ซึ่งพัฒนาการของวัยรุ่นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตก้าวต่อไปเพราะเป็นก้าวที่สำคัญของชีวิตที่มนุษย์เริ่มต้นสู่การเป็นตัวของตัวเอง
พึ่งตนเอง
เตรียมก้าวสู่โลกกว้างของการเรียนรู้และสร้างชีวิตใหม่และการเป็นหัวหน้าครอบครัวต่อไป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น