พาฟลอฟ
(Pavlov)
ประวัติ
พาฟลอฟมีชื่อเต็มว่า Ivan Petrovich Pavlov เป็นชาวรัสเซีย
มีช่วงชีวิตอยู่ระหว่าง ปี ค.ศ. 1849 - 1936 ถึงแก่กรรมเมื่ออายุประมาณ
87 ปี
พาฟลอฟเป็นนักวิทยาศาสตร์
ครั้งแรกเขาสนใจศึกษาระบบการหมุนเวียนโลหิตและระบบหัวใจ ต่อมาได้หันไปสนใจศึกษา
เกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร จนทำให้เข้าได้รับรางวัลโนเบิลสาขาสรีรวิทยา ในปี ค.ศ. 1904
พาฟลอฟได้สร้างผลงานไว้มากมาย
โดยเขียนหนังสือต่าง ๆ ไว้ดังนี้
-
ในปี ค.ศ. 1897
เขียนหนังสือชื่อ The work of the digestive glands
-
ในปี ค.ศ. 1899
เขียนหนังสือชื่อ The work on conditioned reflexes ในหัวข้อต่าง ๆ ที่สำคัญ ๆ ดังนี้“Observations upon salivary
secretion” และ “Conditioned reflexes” เป็นต้น
-
ในปี ค.ศ. 1941
หนังสือเล่มสุดท้ายของเข้าได้มีผู้รวบรวมขึ้นให้ชื่อว่า
ปฏิกิริยาสะท้อนที่วางเงื่อนไขกับจิตเวช (Conditioned reflexes
and Psychiatry)
เนื่องจากพาฟลอฟเป็นชาวรัสเซีย
จึงมีผู้แปลหนังสือที่พาฟลอฟเขียนขึ้นมาเป็นภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาเยอรมัน
ฝรั่งเศส และอังกฤษ เป็นต้น
ต่อมาพาฟลอฟได้หันมาสนใจเกี่ยวกับด้านจิตเวช
(Psychiatry)
และในบั้นปลายของชีวิต เขาได้อุทิศเวลาทั้งหมดในการสังเกตความเป็นไปในโรงพยาบาลโรคจิต
และพยายามนำการสังเกตเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทดลองสุนัขในห้องปฏิบัติการจนได้รับชื่อเสียงโด่งดัง
และได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกขึ้น
หลักการเรียนรู้ของทฤษฎี
พาฟลอฟเชื่อว่า การเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการวางเงื่อนไจ
(Conditioning) กล่าวคือ การตอบสนองหรือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นต่อสิ่งเร้านั้น ๆ
ต้องมีเงื่อนไขหรือมีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น
ซึ่งในธรรมชาติหรือในชีวิตประจำวันจะไม่ตอบสนองเช่นนั้นเลย เช่น
สุนัขได้ยินเสียงกระดิ่งน้ำลายจะไหล หรือคนได้ยินเสียงไซเรนจะคิดถึงไฟไหม้เป็นต้น
เสียงกระดิ่งหรือเสียงไซเรนเป็นสิ่งเร้า
ที่ต้องการให้เกิดการเรียนรู้จากการวางเงื่อนไข
พาฟลอฟเรียกว่าสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (Conditioned Stimulus)
และปฏิกิริยาน้ำลายไหลหรือการคิดถึงการเกิดไฟไหม้เป็นการตอบสนองที่เรียกว่าการตอบสนองที่ถูกวางเงื่อนไข
(Conditioned Response)
ซึ่งเป็นพฤติกรรมแสดงถึงการเรียนรู้จากการวางเงื่อนไข
จากคำกล่าวข้างต้นที่ว่า
การตอบสนองดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
ดังนั้นถ้าจะทำให้สิ่งมีชีวิตตอบสนองตามเงื่อนไขที่ต้องการได้ ต้องใช้สิ่งเร้าอีกชนิดหนึ่งมาคู่กับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
โดยสิ่งเร้าชนิดนี้จะต้องเป็นสิ่งเร้าที่สิ่งมีชีวิตมีการตอบสนองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องมีการเรียนรู้
หรือมีเงื่อนไข เช่น การศึกษาพบว่าผงเนื้อบดทำให้สุนัขน้ำลายไหลจากความหิว ดังนั้น
เรียกว่าสิ่งเร้าไม่ต้องวางเงื่อนไจ หรือสิ่งเร้าธรรมชาติ (UnconditionedStimulus) เพราะไม่ต้องสร้างสถานการณ์ สุนัขก็น้ำลายไหลทันที
ดังนั้นอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า
การเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตในแง่ของพาฟลอฟ คือการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก
ซึ่งหมายถึงการใช้สิ่งเร้า 2 สิ่งคู่กัน คือสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข และสิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไขเพื่อให้เกิดการเรียนรู้
คือการตอนสนองที่เกิดจากการวางเงื่อนไข
ซึ่งถ้าสิ่งมีชีวิตเรียนรู้จริงแล้วจะมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า 2สิ่ง
ในลักษณะเดียวกัน และไม่ว่าจะตัดสิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่งออก
การตอบสนองก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เพราะว่าผู้เรียนรู้สามารถเชื่อมยางระหว่างสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขกับสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขกับการตอบสนองได้นั่นเอง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น
ผู้เขียนขออธิบายความหมายจองคำที่เกี่ยวข้องกับการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก ดังนี้
สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (Conditioned
Stimulus เขียนย่อว่า C.S.)
หมายถึงสิ่งเร้าที่ใช้วางเงื่อนไขเพื่อให้เกิดการเรียนรู้
โดยปกติสิ่งเร้านี้ตามธรรมชาติจะไม่มีการตอบสนอง
หรือการเรียนรู้เช่นที่ผู้วางเงื่อนไขต้องการ เช่น
สุนัขโดยทั่วไปได้ยินเสียงกระดิ่ง มิได้เกิดปฏิกิริยาน้ำลายไหลเลย
การตอบสนองที่เกิดจากการวางเงื่อนไข (Conditioned
Response เขียนย่อว่า C.R.)
หมายถึงการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขหลังจากถูกวางเงื่อนไขแล้ว เช่น
การแสดงอาการน้ำลายไหลของสุนัข เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง
สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข (UnconditionedStimulus
เขียนย่อว่า UC.S.)
หมายถึงสิ่งเร้าที่มีอยู่ในธรรมชาติ
และเมื่อนำมาใช้คู่กับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขแล้วทำให้เกิดการเรียนรู้
หรือการตอบสนองจากการวางเงื่อนไขได้ เช่น
ผงเนื้อบดเมื่อนำมาคู่กับเสียงกระดิ่งแล้วทำให้น้ำลายไหลนั่นเอง หรือกล่าวง่าย ๆ
ว่าเป็นสิ่งเร้าที่มีอยู่ในธรรมชาติซึ่งนำมาคู่กับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
เพื่อช่วยให้เกิดการตอบสนองตามที่ต้องการในการวางเงื่อนไขนั้น ๆ
การตอบสนองที่ไม่ได้วางเงื่อนไข (Unconditioned
Response เขียนย่อว่า UC.R.)
หมายถึงการตอบสนองตามธรรมชาติที่ไม่ต้องมีการบังคับ
ส่วนใหญ่เป็นการำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System หรือ ANS)
ซึ่งเป็นการทำงานโดยสมองไม่ต้องสั่งงานที่เรียกว่าปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex) เช่น น้ำตาไหล น้ำลายไหล ฯลฯ
หลักการเรียนรู้ของพาฟลอฟเขียนเป็นแผนผังง่าย
ๆ ดังนี้
การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก =
สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข + สิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข = การเรียนรู้
การทดลอง
จุดเริ่มต้นของการทดลอง
เกิดจากการที่พาลอฟได้สังเกตเห็นว่า
สุนัขที่เขาเลี้ยงมักมีอาการน้ำลายไหลเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขาได้นำเอาผงเนื้อไปให้กินและบางครั้งที่เขาเดินมา
สุนัขได้ยินก็มีอาการน้ำลายไหล ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อาหาร ทำให้เขาคิดว่าอาการน้ำลายไหลของสุนัขนั้นน่าจะเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่ต่อเนื่องกันระหว่างผงเนื้อบด
กับเสียงคนเดิน และเนื่องจากพาลอฟเป็นนักสรีรวิทยา
เขาจึงเห็นว่าอาการน้ำลายไหลซึ่งเป็นปฏิกิริยาสะท้อน
ที่เกิดจากการทำงานของระบบประสารทอัตโนมัติ
นั้นก็เกิดเป็นปฏิกิริยาการเรียนรู้อย่างหนึ่งได้
เขาจึงเริ่มทดลองโดย ก่อนทดลองเขาได้ทำการผ่าตัดง่าย
ๆ ข้างกระพุ้งแก้มของสุนัขเพื่อเปิดท่อของต่อมน้ำลายให้กว้างออก
และเจาะเป็นท่อไหลลงในภาชนะที่มีเครื่องหมายสำหรับตวงปริมาณของน้ำลายได้
เริ่มการทดลอง เข้าตั้งจุดประสงค์ไว้ว่า
สุนัขจะต้องมีอาการน้ำลายไหลจากการได้ยินเสียงกระดิ่ง การทดลองมี 3 ขั้นตอน คือ
ขั้นก่อนวางเงื่อนไข ขั้นวางเงื่อนไข และขั้นการเรียนรู้จากการวางเงื่อนไข ดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นก่อนวางเงื่อนไข เป็นขั้นที่ศึกษาภูมิหลังของสุนัขก่อนการเรียนรู้จากการวางเงื่อนไขว่าภูมิหลัง
หรือพฤติกรรมก่อนการเรียนรู้เป็นอย่างไร
เขาศึกษาพบว่า สุนัขจะแสดงอาการส่ายหัว
และกระดิกหาง เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง แต่จะแสดงอาการน้ำลายไหลเมื่อได้เห็นเนื้อบด
ซึ่งแสดงได้ดังสมการ
เสียงกระดิ่ง (UCS) à ส่ายหัวและกระดิกหาง (UCR)
ผงเนื้อบด (UCS) à น้ำลายไหล (UCR)
จากการศึกษาทำให้ทราบว่า พฤติกรรมก่อนการเรียนรู้ครั้งนี้สุนัขไม่ได้แสดงอาการน้ำลายไหลเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง
และถ้าจะให้น้ำลายไหลเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง จะต้องใช้เนื้อบดเข้าช่วย
โดยการจับคู่กันจึงจะทำให้สุนัขน้ำลายไหลได้
ขั้นที่ 2 ขั้นวางเงื่อนไข เป็นขั้นที่ใส่กระบวนการเรียนรู้โดยการวางเงื่อนไจแบบคลาสสิกเข้าไป
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้
เขาได้สั่นกระดิ่ง
(หรือเป็นการเคาะส้อมเสียง)
จากนั้นก็จะรีบพ่นผงเนื้อบดเข้าไปในปากสุนัขในเวลาต่อมา ทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ หลาย ๆ
ครั้งเพื่อให้สุนัขเกิดการเรียนรู้ ซึ่งแสดงสมการได้ดังนี้
เสียงกระดิ่ง (CS) + ผงเนื้อบด (UCS) à น้ำลายไหล (UCR)
ในการวางเงื่อนไขนี้
ใช้เสียงกระดิ่งเป็นสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS) และใช้ผงเนื้อบดเป็นสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข
(UCS) และอาการน้ำลายไหลในขณะวางเงื่อนไขนี้
ยังอาจเป็นการตอบสนองที่ไม่ได้วางเงื่อนไข (UCR)
เพราะสุนัขจะน้ำลายไหลจากผงเนื้อบดมากกว่าเสียงกระดิ่ง
ขั้นที่ 3
ขั้นการเรียนรู้จากการวางเงื่อนไข เป็นขั้นที่ทกสอบว่าสุนัขเรียนรู้หรือยัง
ในวิธีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกนี้ โดนการตัดสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไจ (UCS) ออกคือผงเนื้อบด ให้เหลือแต่สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS) คือเสียงกระดิ่ง ถ้าสุนัขยังน้ำลายไหลอยู่แสดงว่า
สุนัขเกิดการเรียนรู้ต่อการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกแล้ว
นั้นคืออาการน้ำลายไหลเป็นการตอบสนองการวางเงื่อนไข (CR)
นั่นเอง ดังแสดงได้จากสมการ
เสียงกระดิ่ง (CS) à น้ำลายไหล (CR)
จากการทดลองทั้ง
3 ขั้นตอนดังกล่าวบรรลุตามที่พาลอฟตั้งจุดประสงค์ไว้ คือ
สามารถทำให้สุนัขน้ำลายไหลเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งได้
ซึ่งเป็นการแก้ข้อสงสัยว่าทำไมสุนัขจึงน้ำลายไหลเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนให้อาหาร
เพราะทั้งนี้สุนัขมีการตอบสนองเชื่อมโยง จากอาหารไปสู้ฝีเท้า
โดยที่อาหารเป็นสิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข (UCS) และเสียงฝีเท้าเป็นสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS)
ซึ่งแสดงดังสมการ
เสียงฝีเท้า (CS) + อาหาร (UCS) à น้ำลายไหล (UCR)
เสียงฝีเท้า
(CS) à น้ำลายไหน (CR)
จากการทดลองนี้เป็นข้อยืนยันให้เห็นจริงว่า
การแสดงปฏิกิริยาสะท้อนต่าง ๆ นั้น อาจใช้ในการเรียนรู้
โดยการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกได้
ข้อสังเกตจากการทดลอง
1.
การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก ควรเริ่มจากการเสนอสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS) ก่อนแล้วจึงเสนอสิ่งเร้าไม่วางเงื่อนไข (UCS)
ตามมา
2. ช่วงเวลาในการให้สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
(CS) กับสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข (UCS)
ที่แตกต่างกันจะทำให้การตอบสนองที่ได้แตกต่างกันไปด้วย
กฎการเรียนรู้
จากการสังเกตสิ่งต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นในการทดลอง ทำให้พาลอฟสรุปออกมาเป็นกฎการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ 4
กฎด้วยกัน คือ
1. กฎการลดภาวะ
ความเข้มข้นของการตอบสนอง จะลดน้อยลงเรื่อย ๆ
ถ้าให้อินทรีย์ได้รับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขไว้อย่างเดียว
หรือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
กับสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขห่างกันออกไปมากขึ้น ๆ
2.
กฎการคืนสภาพเดิมตามธรรมชาติ
การตอบสนองที่เกิดจากการวางเงื่อนไข
ที่ลดลงเพราะได้รับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเพียงอย่างเดียว จะกลับปรากฏขึ้นอีก
และเพิ่มมากขึ้น ๆ ถ้าอินทรีย์มีการเรียนรู้อย่างแท้จริง
โดยไม่ต้องมีสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขเข้ามาช่วย
3.
กฎการสรุปกฎเกณฑ์ทั่วไป
ถ้าอินทรีย์มีการเรียนรู้โดยแสดงอาการตอบสนองจากการวางเงื่อนไขต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขหนึ่งแล้ว
ถ้ามีสิ่งเร้าอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเดิม
อินทรีย์จะตอบสนองเหมือนกับสิ่งเร้าที่วางเงือนไขนั้น
4.
กฎการจำแนกความแตกต่าง
ถ้าอินทรีย์มีการเรียนรู้ โดยแสดงอาการตอบสนองจากการวางเงื่อนไขจ่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขแล้ว
ถ้าสิ่งเร้าอื่นที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเดิม
อินทรีย์จะตอบสนองแตกต่างไปจากสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขนั้น
สรุปหลักการและความคิดของ
Pavlov
ที่เกี่ยวกับการวางเงื่อนไขได้เป็นข้อๆ ดังนี้ (จำเนียร ช่วยโชติ
และคณะ
: 42-47)
1.
ถ้าให้สิ่งเร้าที่มีเงื่อนไขควบคู่กับสิ่งเร้าที่ไม่มีเงื่อนไข
ในช่วงระยะเวลาหนึ่งสิ่งเร้าที่มีเงื่อนไขจะแสดงผลเหมือนกับสิ่งเร้าที่ไม่มีเงื่อนไข
2. การวางเงื่อนไขจะเกิดผลดี
ก็ต่อเมื่อผู้ทดลองเร้าผู้ถูกทดลองด้วยสิ่งเร้าไม่มีเงื่อนไขเสียก่อน
แล้วจึงตามด้วยสิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข
ระยะเวลาที่จะเร้าสิ่งเร้าไม่มีเงื่อนไขและสิ่งเร้าที่มีเงื่อนไขนั้น
จะต้องไม่มากเกินไป และไม่เร็วเกินไป
แต่ต้องอยู่ในจังหวะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ถูกทดลองมีโอกาสได้สัมพันธ์เหตุการณ์ทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี
(ไม่ใช่เคาะส้อมก่อนแล้วทิ้งระยะไว้ 1 ชั่วโมง จึงจะให้อาหาร
การกระทำห่างเกินไปจะไม่ได้ผลตามที่ต้องการ
ทั้งนี้เพราะสุนัขหรือผู้ถูกทดลองไม่มีโอกาสได้สัมพันธ์เหตุการณ์ทั้งสองนั้นเข้าด้วยกัน)
3. คนและสัตว์ไม่จำเป็นต้องทำปฏิกิริยาการตอบสนองต่อสิ่งเร้าแท้
(สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข) อย่างเดียวกันตลอดไปเหมือนกันหมด
แต่ถ้าได้มีการวางเงื่อนไขติดต่อกันไปเป็นเวลานานพอสมควรคนและสัตว์ย่อมทำปฏิกิริยาการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเทียม
(สิ่งเร้าที่ได้วางเงื่อนไข) เช่นเดียวกันกับการตอบสนองต่อสิ่งเร้าแท้
ถ้าเราพิจารณาถึงพฤติกรรมต่างๆ
ของคนเราที่แสดงออกมาแล้วจะพบว่า
มีอยู่เป็นอันมากที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของการวางเงื่อนไข ตัวอย่างเช่น ความกลัว
ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด การที่คนเรากลัวอะไรๆ นั้นเป็นเพราะคนเราสร้างความกลัวขึ้นมาจากการที่ได้ไปวางเงื่อนไขกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้า
4.
ในการวางเงื่อนไขกับอะไรนั้น คนเราต้องพยายามจับหลักให้ได้ว่า
อะไรเป็นเงื่อนไขกับอะไร พฤติกรรมของอินทรีย์ที่เกิดจากการวางเงื่อนไขแบบนี้นั้น
เป็นพฤติกรรมที่เรามองเห็นสาเหตุได้ว่าอะไรเป็นตัวการหรือตัวเร้าให้พฤติกรรมแสดงออกมาในรูปนั้นๆ
อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของคนเรานั้นซับซ้อนมาก
จึงไม่เป็นที่มองเห็น หรือแยกแยะออกให้เห็นชัดแจ้งได้โดยง่าย ในการแสดงพฤติกรรมแต่ละอย่างของคนเราส่วนมากนั้น
มักจะเกิดจากสิ่งเร้าประกอบ (หมายถึงสิ่งเร้าหลายๆอย่างๆ)
แทนที่จะเป็นสิ่งเร้าเดี่ยว (หมายถึงสิ่งเร้าอันเดียว) ในกรณีเช่นนี้
จึงเป็นการยากจะบอกว่า สิ่งเร้าอันไหนที่เป็นตัวเร้าที่แท้
อันไหนที่เป็นตัวเร้าประกอบ
5.
การวางเงื่อนไข หมายถึงการวางเงื่อนไขที่มีระดับสูงขึ้น หรือการวางเงื่อนไขซ้อนจากการวางเงื่อนไขต่อเป็นขั้นที่สอง
ที่สาม และที่สี่เรื่อยๆไป ผลก็คือ
“ยิ่งมีการวางเงื่อนไขซ้อนการวางเงื่อนไขมากครั้งขึ้นเป็นลำดับ
การตอนสนองก็จะมีกำลังอ่อนลงด้วยตามลำดับ”
พฤติกรรมของคนเรานั้นซับซ้อน
ถ้ามีการวางเงื่อนไขซ้อนการวางเงื่อนไขกันเป็นลำดับ การเรียนรู้ของคนเราที่เกิดจากการวางเงื่อนไขซ้อนการวางเงื่อนไข
การตอนสนองของร่างกายจะหย่อนความเข้มข้นลงไป นั้นหมายความว่า
การเรียนรู้จะหย่อนสมรรถภาพตามลงไปด้วย
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขของ
Pavlov สามารถนำไปใช้ในการจัดการศึกษาและการเรียนการสอน
ได้ดังนี้
1. การจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบการใช้บทเรียนโปรแกรม
หรือบทเรียนสำเร็จรูป เป็นการทำให้
ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง
โดยมีคำตอบที่ถูกต้องไว้เป็นการเสริมแรง สามารถเสริมแรงได้ทันทีเมื่อผู้เรียน
ตอบคำถามได้ถูกต้อง
ทำให้ผู้เรียนเกิดความภาคภูมิใจและอยากเรียนรู้มากขึ้น
2. การใช้พฤติกรรมบำบัด เช่น การสอนให้เด็กขยันทำการบ้าน โดยเขียนรายชื่อผู้ส่งการบ้านไว้บนบอร์ดให้
2. การใช้พฤติกรรมบำบัด เช่น การสอนให้เด็กขยันทำการบ้าน โดยเขียนรายชื่อผู้ส่งการบ้านไว้บนบอร์ดให้
บุคคลอื่นมองเห็นเพื่อเป็นการยกย่องชมเชย การให้ดาวเมื่อผู้เรียนทำงานเสร็จทันเวลา
หรือส่งการบ้านตาม
เวลา เมื่อได้ดาวครบตามจำนวน มีการมอบรางวัล
กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้น เป็นต้น
3. การใช้กฎการเรียนรู้ทั้ง 2 กฎ คือ การเสริมแรงทันทีทันใด เช่น เมื่อผู้เรียนตอบคำถามถูกให้กล่าวชมยกย่อง
3. การใช้กฎการเรียนรู้ทั้ง 2 กฎ คือ การเสริมแรงทันทีทันใด เช่น เมื่อผู้เรียนตอบคำถามถูกให้กล่าวชมยกย่อง
ชมเชย ให้รางวัล ในทันที และการเสริมแรงเป็นครั้งคราว
เช่นการสะสมแต้ม เพื่อแลกของรางวัล หรือ
ให้
รางวัลสำหรับผู้ที่ตั้งใจเรียน
ส่งงานสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา 1 เดือน เป็นต้น
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น