ทฤษฎีเกี่ยวกับการสอนของบรูเนอร์
(Bruner’s Theory of Instruction)
Jerome S.Bruner เป็นผู้ที่มีความเห็นว่าในการจัดการเรียนการสอนนั้น
ครูสามารถช่วยจัดประสบการณ์เพื่อช่วยให้เด็กเกิดความพร้อมได้ โดยไม่ต้องรอให้เด็กพร้อมตามธรรมชาติ
ซึ่งเป็นการเสียเวลา นั่นหมายความว่าตามความคิดเห็นของบรูเนอร์แล้ว
ความพร้อมเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดเร็วขึ้นได้
ภูมิหลัง (Bruner’s
Background)
บรูเนอร์เกิดในเมืองนิวยอร์คในปี
ค.ศ. 1915 พ่อแม่หวังจะให้เป็นนักกฎหมาย แต่เขากลับมาสนใจทางจิตวิทยา
และได้ปริญญาเอกทางจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปี ค.ศ. 1962 ได้รับรางวัลในฐานะที่มีผลงานดีเด่น คือ Distinguished
Scientific Contri-bution Award จากสมาคมจิตวิทยาของอเมริกา (APA) ต่อมาในปี ค.ศ.1964 ได้เป็นประธานของ The American Psychological
Association (APA) ปัจจุบันเป็นสมาชิกของ Department of
Experimental Psychology ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
และในขณะนี้มีตำแหน่งเป็นผู้-อำนวยการของ Harvard’s Center for Cognitive
Studies.
หลักการสำคัญ
บรูเนอร์ได้เสนอว่าในการจัดการศึกษานั้น ควรที่จะได้คำนึงถึงทฤษฎีพัฒนาการ
ว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่าง ทฤษฎีความรู้ และ ทฤษฎีการสอน (A theory of development must be link
both to a theory of knowledge and to a theory of instruction) ซึ่งหมายความว่า
ทฤษฎีพัฒนาการ
จะเป็นตัวกำหนดเนื้อหา (knowledge) และวิธีการสอน (instruction) ในการที่จะนำเนื้อหาใดมาสอนเด็ฏนั้น ควรจะได้พิจารณาดูว่าในขณะนั้นเด็กมีพัฒนาการอยู่ในระดับใด
มีความสามารถเพียงใด เราก็ปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับความสามารถของเด็กที่จะเรียน
หรือที่จะรับรู้ได้ โดยใช้วิธีการให้เหมาะสมกับเด็กในวัยนั้น ดังนั้น เราก็
สามารถสอนให้เด็กเกิดความพร้อมได้โดยไม่ต้องรอ ดังที่บรูเนอร์ได้กล่าวว่า
“เราจะสามารถสอนวิชาใด ๆ
ก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้วิธีการที่เหมาะสมให้กับเด็กคนใดคนหนึ่งในระดับอายุใด
ก็ได้.... “any subject can be taught effectively in some intellectually
honest form to any child at any stage of development (1960).
ซึ่งความพร้อมในที่นี้ของบรูเนอร์หมายถึงความสามารถที่เด็กจะเรียนทักษะอย่างง่าย ๆ ได้ก่อน
ซึ่งทักษะนี้เป็นพื้นฐานของทักษะที่ยากต่อไป ซึ่งบรูเนอร์ได้กล่าวว่า... one teaches readiness or provides
opportunities for its nurture; one does not simply wait- for it. Readiness, in
these terms, consists of mastery of those simple skills that permit one- to
reach higher skills”
บรูเนอร์มองเห็นว่าในการจัดการศึกษานั้น
ควรที่จะทำให้เนื้อหาวิชามีความต่อเนื่อง กัน
ถ้าเราทราบว่าเนื้อหาวิชาใดเป็นสิ่งจำเป็นที่เด็กจะต้องเรียน
หรือจะต้องใช้เมื่อตอนโต
ก็ให้รีบนำเนื้อหาวิชานั้นมาสอนให้กับเด็กตั้งแต่เขายังเล็ก ๆ
โดยที่ปรับเนื้อหาวิชานั้นให้เหมาะสมกับความสามารถในการคิด หรือการรับรู้ของเด็ก
หรือใช้ภาษาที่เด็กจะเข้าใจได้ ดังนั้นเราก็สามารถนำเนื้อหาวิชาใด ๆ
มาสอนกับเด็กในระดับอายุเท่าไรก็ได้ ถ้ารู้จักใช้วิธีการที่เหมาะสม
ซึ่งจากความคิดนี้เขาได้เสนอว่าในการจัดการเรียนการสอนควรมีลักษณะเป็น “Spiral
curriculum” คือการจัดเนื้อหาวิชาให้มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันไปเรื่อย
ๆ และมีความลึกซึ้งซับซ้อนและกว้างขวางออกไปตามประสบการณ์ของผู้เรียน
เรื่องเดียวกันอาจเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมหาวิทยาลัย
ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ก็เรียนได้ทั้งสิ้น เช่นเกี่ยวกับเรื่อง “เซท”
เด็กประถมก็เรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ในลักษณะที่เป็นรูปธรรม
นิสิตในมหาวิทยาลับก็เรียนเรื่องนี้ แต่ในลักษณะที่เป็นนามธรรมที่ลึกซึ้งเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน สำหรับวิชาฟิสิกส์ บรูเนอร์
ได้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับ “Snell’s
Law”ซึ่งเป็นกฎที่ว่าด้วยเรื่อง “แรงกดของแสง”
ซึ่งเขาได้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับการถ่ายรูปว่า
การที่ถ่ายรูปติดนั้นเป็นเพราะแรงกดจากแสง
หรือว่าไม่เกี่ยวข้องกับแรงกดจากแสงเลย
ซึ่งบรูเนอร์กล่าวว่าเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนอย่างนี้ก็สามารถอธิบายให้เด็กอายุ 7 ขวบ เข้าใจได้
และเขาได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยใช้ลูกบอลล์สองลูกเพื่อที่จะอธิบายว่า
ถ้าวัตถุที่เคลื่อนที่ไปกระทบวัตถุที่นิ่ง
มันจะผ่านไปด้วยแรงซึ่งเนื่องมาจากอัตราเร็วที่จะไปกระทบวัตถุนั้น ๆ นอกจากนั้นบรูเนอร์กล่าวว่า
การที่เขากล้ายืนยันว่าเด็กเล็ก ๆ ก็สามารถเรียนเกี่ยว กับกฎของ Snell’s
law ได้นั้น เพราะเขาเคยพบเด็กในวัย preoperation ซึ่งมีคำถามเกี่ยวกับ การสร้าง “กังหันลมแสง” เพื่อวัดแรงกดจากแสงว่า
กังหันนั้นควรจะเป็น “กังหันร้อน” หรือ “กังหันเย็น” ในเมื่อแสงจากดาวนั้นเย็น ( Hall,
1970)
ความคิดของบรูเนอร์เกี่ยวกับทฤษฎีพัฒนาการ
ทฤษฎีพัฒนาการของบรูเนอร์
เป็นทฤษฎีที่คู่ขนานกับทฤษฎีพัฒนาการของเปียเจท์
โดยที่บรูเนอร์ศึกษาค้นคว้าโดยยึดขั้นต่าง ๆ ของพัฒนาการของเปียเจท์เป็นหลัก
บรูเนอร์ได้เสนอว่า
พัฒนาการทางสติปัญญา ของคนประกอบด้วย 3 ลักษณะคือ
1. Enactive representation ซึ่งเปรียบได้กับ sensori motor
ของเปียเจท์
2. Iconic representation ซึ่งเปรียบได้กับ concrete
operations ของเปียเจท์
3. Symbolic representation ซึ่งเปรียบได้กับ formal
operations ของเปียเจท์
ข้อแตกต่างระหว่างทฤษฎีของเปียเจท์และบรูเนอร์
1. เปียเจท์มองเห็นว่าพัฒนาการทางสมองของเด็กมีขั้นตอนซึ่งขึ้นอยู่กับอายุ
กำหนดลงไปเลยว่าเด็กในวัยใดจะมีพัฒนาการทางสมองในเรื่องใด
บรูเนอร์มิได้คำนึงถึงอายุ เห็นว่ากิจกรรมต่าง ๆ
ที่เด็กทำอันสืบเนื่องมาจากพัฒนาการทางสมองที่เกิดในช่วงแรกของชีวิต คนก็ยังนำไปใช้ในการแก้ปัญหาในช่วงหลัง ๆ
ของชีวิตอีกเช่นกัน มิได้แบ่งเป็นช่วง ๆ ดังเช่นของเปียเจท์
2. เปียเจท์คำนึงถึงพัฒนาการทางสมองในแง่ของความสามารถในการกระทำสิ่งต่าง
ๆ ในแต่ละวัย แต่บรูเนอร์คำนึงในแง่ของกระบวนการ (process) ที่ต่อเนื่องไปตลอดชีวิต
3. บรูเนอร์เน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม
ว่าสิ่งแวดล้อมบางอย่างจะทำให้พัฒนา การทางสมองช้าลงหรือหยุดชงักลง
และสิ่งแวดล้อมบางอย่างจะช่วยให้พัฒนาการทางสมองเป็นไปอย่างรวดเร็ว
พัฒนาการทางสมองของบรูเนอร์
เน้นที่การถ่ายทอดประสบการณ์ด้วยลักษณะต่าง
ๆ ดังนี้
1. Enactive
representation
ตั้งแต่แรกเกิดจนอายุประมาณ
2 ขวบเป็นช่วงที่เด็กแสดงให้เห็นถึงความมีสติ ปัญญาด้วยการกระทำ
และการกระทำด้วยวิธีนี้ยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ
เป็นลักษณะของการถ่ายทอดประสบการณ์ด้วยการกระทำซึ่งดำเนินต่อไปตลอดชีวิต
มิได้หยุดอยู่เพียงในช่วงอายุใดอายุหนึ่ง
บรูเนอร์อธิบายในแง่ที่ว่า
เด็กใช้การกระทำแทนสิ่งต่าง ๆ หรือประสบการณ์ต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจ
เขาได้ยกตัวอย่างจากการศึกษาของเปียเจท์ ในกรณีที่เด็กเล็ก ๆ
นอนอยู่ในเปลและเขย่ากระดิ่งเล่น
ขณะที่เขย่าบังเอิญทำกระดิ่งตกข้างเปลเด็กจะหยุดนิดหนึ่งแล้วยกมือขึ้นดู
เด็กทำท่าประหลาดใจและเขย่ามือเล่นต่อไป
จากการศึกษานี้บรูเนอร์ให้ข้อแนะว่า
การที่เด็กเขย่ามือต่อไปโดยที่ไม่มีกระดิ่งนั้น เพราะเด็กคิดว่ามือนั้นคือกระดิ่ง
และเมื่อเขย่ามือก็จะได้ยินเสียงเหมือนเขย่ากระดิ่งนั่นคือ เด็กถ่ายทอดสิ่งของ (กระดิ่ง) หรือประสบการณ์
ด้วยการกระทำ ตามความหมายของ บรูเนอร์
เกี่ยวกับเรื่องนี้บรูเนอร์ให้ความเห็นว่า
ในชีวิตประจำวันของเรานั้น บางครั้งจะพบว่าคนโต ๆ จะยังใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการกระทำ ซึ่งให้ผลดีกว่าการอธิบายด้วยคำพูด เช่น การสอนคนให้ขี่จักรยาน หรือเล่นเทนนิส
หรือการกระทำอื่น ๆ อีกหลายอย่างเราจะพบว่าวิธีที่ดีที่สุด คือ
แสดงให้ดูเป็นตัวอย่างซึ่งจะได้ผลดีกว่าการอธิบาย
เพราะเราจะพบว่าเป็นการยากเหลือเกินที่จะอธิบายให้ฟังเป็นขั้นตอน
และบางครั้งก็มิสามารถหาคำพูดมาอธิบายได้ เพื่อให้คนมองเห็นภาพ
แต่ถ้าเรากระทำให้ดู (acting) โดยมิต้องใช้คำพูดอธิบายผู้เรียนจะเข้าใจทันที
ดังนั้นบรูเนอร์จึงมิได้แบ่งพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจให้หยุดอยู่เพียงในระยะแรกของชีวิตเท่านั้น
เพราะถือว่าเป็นกระบวนการต่อเนื่องคนจะนำมาใช้ในช่วงใดของชีวิตอีกก็ได้
2. Iconic
representation
พัฒนาการทางความคิดในขั้นนี้อยู่ที่การมองเห็นและการใช้ประสาทสัมผัสต่าง
ๆ จากตัวอย่างของเปียเจท์ดังกล่าวแล้ว
เมื่อเด็กอายุมากขึ้นประมาณ 2-3 เดือน ทำของเล่นตกข้างเปล เด็กจะมองหาของเล่นนั้น ถ้าผู้ใหญ่แกล้งหยิบเอาไป เด็กจะหงุดหงิดหรือร้องไห้เมื่อมองไม่เห็นของ
บรูเนอร์ตีความว่า การที่เด็กมองหาของเล่นและร้องไห้
หรือแสดงอาการหงุดหงิดเมื่อไม่พบของ แสดงให้เห็นว่าในวัยนี้เด็กมีภาพแทนในใจ (iconic
representation) ซึ่งต่างจากวัย enactive เด็กคิดว่าการสั่นมือกับการสั่นกระดิ่งเป็นของสิ่งเดียวกัน
เมื่อกระดิ่งตกหายไป ก็ไม่สนใจ แต่ยังคงสั่นมือต่อไป
การที่เด็กสามารถถ่ายทอดประสบการณ์หรือเหตุการณ์ต่าง
ๆ ด้วยการมีภาพแทนในใจ
แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจซึ่งจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
เด็กโตจะยิ่งสามารถสร้างภาพในใจได้มากขึ้น เช่น การทดลองของบรูเนอร์ (1964)
กับเด็ฏวัย 5-7 ขวบ โดยให้จัดเรียงลำดับแก้วซึ่งมีขนาดต่าง ๆ กัน 9 ใบ
ดังแสดงในรูป
การทดลอง
ครั้งแรกบรูเนอร์ให้เด็กดูภาพจากการจัดแก้ว 9 ใบ
ดังแสดงในรูป ต่อจากนั้นหยิบแก้ว ออกทีละแถว และให้เด็กจัดเองให้เหมือนเดิม
จากนั้นหยิบแก้วทั้ง 9 ใบ ออกจากตะแกรงและให้เด็กจัดให้เหมือนเดิม
ปรากฏว่าเด็กวัย 5 ขวบ และ
7 ขวบ สามารถทำได้
ความแตกต่างระหว่างเด็ก 2 วัยนี้คือ เมื่อบรูเนอร์ให้ เรียงสลับ
โดยให้เริ่มจากใบใหญ่ให้อยู่ทาง ซ้ายมือ ปรากฏว่าเด็กวัย 5 ขวบ
เริ่มต้นอย่างถูกต้อง แต่แล้วก็งง ในที่สุดจัดออกมาเหมือนแบบที่ให้ดูตั้งแต่แรก
ส่วนเด็กวัย 7 ขวบนั้น สามารถเรียงสลับได้อย่างถูกต้อง บรูเนอร์จึงสรุปว่า
การเกิดภาพในใจซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจนั้นจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
ทั้งนี้เพราะเด็กรู้จักที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาเป็นสัญลักษณ์ (Symbolic)
3. Symbolic representation
หมายถึงการถ่ายทอดประสบการณ์หรือเหตุการณ์ต่าง
ๆ โดยการใช้สัญลักษณ์หรือภาษา ซึ่งภาษาเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความคิด
ขั้นนี้เป็นขั้นที่บรูเนอร์ถือว่าเป็นขั้นสูงสุดของพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจ
เด็กสามารถคิดหาเหตุผล และในที่สุดจะเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมได้
และสามารถแก้ปัญหาได้
บรูเนอร์มีความเห็นว่าความรู้ความเข้าใจและภาษามีพัฒนาการขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
สรุป
บรูเนอร์มีความเห็นว่า
คนทุกคนจะมีพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจ โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า acting, imaging และ symbolizing เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องไปตลอดชีวิต มิใช่ว่าเกิดขึ้นเพียงช่วงใดช่วงหนึ่งในระยะแรก ๆ
ของชีวิตเท่านั้น
ความคิดเห็นของบรูเนอร์ที่มีผลต่อการศึกษา
ความคิดของบรูเนอร์มีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษาเช่นเดียวกับเปียเจท์
1. ทำให้ตระหนักถึงการจัดวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการสอนให้กับเด็กเล็ก
ๆ โดยเฉพาะวัสดุอุปกรณ์ประเภทที่จะกระตุ้นการกระทำ
(enactive) และประเภทที่รับรู้ง่ายเพื่อช่วยสร้างภาพในใจ (image หรือ iconic)
2. เน้นความสำคัญของผู้เรียน
ว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีบทบาท ได้คิดค้นกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
(active) ดังนั้นจึงมีการส่งเสริมให้มีการเรียนรู้แบบ discovery
learning
3. ทำให้เข้าใจความคิดของเด็ก
(แม้จะไม่ละเอียดถี่ถ้วนเท่าเปียเจท์)
4. บรูเนอร์เป็นผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน
เพื่อจะพัฒนาสติปัญญาของเด็กมากกว่าเปียเจท์ เป็นผู้ที่เห็นว่า
เราจะสามารถจัดการสอนเนื้อหาวิชาใด ๆ ให้กับ เด็กในช่วงใดของชีวิตได้
ถ้ารู้จักเลือกวิธีการที่เหมาะสม จากความเชื่อเช่นนี้ ทำให้เขาพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าเด็กเล็ก ๆ สามารถเรียนเนื้อหาวิชาต่าง
ๆ โดยการมีประสบการณ์กับการสอนชนิด nonverbal โดยไม่ต้องใช้คำพูดอธิบาย ดังนั้น จึงได้สร้างชุดการเรียนชนิดที่เรียกว่า
“nonverbal instructional packages” ขึ้นสอน concept ต่าง ๆ ให้กับเด็กเล็ก ๆ
5. บรูเนอร์มีความเห็นว่าในการจัดการเรียนการสอนนั้น
จะต้องคำนึงถึงทฤษฎีความรู้ความเข้าใจ และทฤษฎีการสอน เขาได้เน้น interaction ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน โดยที่เน้นให้เห็นว่าพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจของนักเรียนจะเป็นไปด้วยดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับการจัดสิ่งแวดล้อมของครู
6. ขณะนี้ บรูเนอร์กำลังศึกษาวิจัยกับเด็กเล็กเกี่ยวกับเรื่อง ธรรมชาติของทักษะที่ง่ายที่สุดซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ในขั้นต่อไป
หลักการสอน
บรูเนอร์
(1966) กล่าวว่า ทฤษฎีการสอนใด ๆ ก็ตาม ควรประกอบด้วยคุณลักษณะ 4 ประการ ซึ่งข้อเสนอแนะของเขามีคุณค่าอย่างใหญ่หลวงต่อการวางแผนการสอนในปัจจุบัน
1. ทฤษฎีการสอนควรจะบอกให้ทราบว่าเด็กวัยก่อนเรียนควรจะมีประสบการณ์อะไรที่จะเป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนในโรงเรียนต่อไป
เพื่อครูจะได้นำประสบการณ์นั้นมาใช้ในการสอน
2. ทฤษฎีการสอนควรจะบอกให้ทราบว่า จะจัดโครงสร้างของความรู้อย่างไรที่จะทำให้เด็กเข้าใจได้โดยง่าย ซึ่งในการจัดนั้นจะต้องคำนึงถึงลักษณะทั้ง 3
ของการแก้ปัญหาของเด็กด้วย คือ 1) การใช้การกระทำ
2) การสร้างภายในใจ และ 3)
การใช้สัญลักษณ์
3. ทฤษฎีการสอนควรจะบอกถึงลำดับขั้นของการเสนอเนื้อหาและใช้วัสดุอุปกรณ์ซึ่งจะต้องคำนึงถึงลักษณะทั้ง
3 ของการแก้ปัญหาของเด็กดังกล่าวแล้วด้วย
ซึ่งบรูเนอร์ได้เสริมว่าไม่มีลำดับขั้นใดจะมีประสิทธิภาพสำหรับเด็กทุกคน
ครูจะต้องคำนึงถึงทั้งลักษณะของวัสดุอุปกรณ์นั้น ๆ และความแตกต่างระหว่างบุคคล
4. ทฤษฎีการสอนควรจะบอกว่าจะใช้การให้รางวัลและการลงโทษอย่างไรและ
เมื่อใด ซึ่งถือว่าเป็นจุดสำคัญ
ท้ายที่สุดบรูเนอร์ได้สรุปให้เห็นว่า
พัฒนาการทางสติปัญญานั้นขึ้นอยู่กับสัมพันธภาพระหว่างเนื้อหาสาระ
ครูและผู้เรียนมิใช่เป็นเพียงการให้ผู้เรียนจำเนื้อหาสาระได้เท่านั้น แต่ครูจะต้องช่วยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้รับเนื้อหาสาระซึ่งทำให้พัฒนาความรู้ใหม่
แนวคิดของบรูเนอร์ที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา
จากขั้นพัฒนาการต่าง
ๆ ที่บรูเนอร์เสนอไว้ได้นำไปสู่แนวความคิดในการจัดการ ศึกษาในระดับต่าง ๆ ดังนี้
ระดับอนุบาลและระดับประถมต้น
บรูเนอร์เห็นว่าเด็กวัยอนุบาลอยู่ในระดับ
Iconic representation ซึ่งการเรียนรู้ต่าง ๆ
อยู่ในลักษณะของการกระทำ โดยผ่านประสบการณ์ที่ได้พบเห็นและการรับรู้ต่าง ๆ
นอกจากนี้เขากล่าวว่า เด็กวัยนี้ไม่สามารถรออะไรได้นาน ๆ
เราควรสนองความพึงพอใจให้กับเด็กอย่างทันท่วงทีที่ทำงานแต่ละครั้งเสร็จ
บรูเนอร์ยังได้เสนออีกว่า
ในการสอนเด็กระดับนี้ ควรให้มีบรรยากาศของความสนุกสนาน ผ่อนปรนไม่ตึงเครียด
และควรเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความสามารถต่าง ๆเพื่อก่อให้เกิดความมั่นใจ
เด็กประถมต้นยังอยู่ในวัย
Iconic representation เด็กวัยนี้สามารถสร้างภาพในใจได้
บรูเนอร์ได้นำการทดลองของเปียเจท์เกี่ยวกับการรินน้ำมาใช้
เพื่อแสดงให้เห็นว่าเด็กสามารถสร้างภาพในใจได้
และสามารถที่จะกระตุ้นให้อธิบายความคิดออกมาได้ ครั้งแรกบรูเนอร์ให้เด็กดูแก้ว 2
ใบ ที่ใส่น้ำไว้เท่ากัน พร้อมกับแก้วเปล่าอีก 2 ใบ ใบหนึ่งมีขนาดใหญ่
อีกใบหนึ่งเล็กยาว
ต่อจากนั้นเขารินน้ำจากแก้วทั้งสองใบใส่แก้วเปล่าทั้งสองใบโดยไม่ให้เด็กเห็นและให้เด็กลองคิดดูว่าระดับน้ำในแก้ว
2 ใบนั้นจะเท่ากันหรือต่างกัน ผลปรากฏว่าเด็กส่วนใหญ่ทำนายได้ถูกต้อง
แต่เมื่อบรูเนอร์ให้คิดว่าถ้าจะรินน้ำจากแก้ว 2 ใบนี้กลับไปสู่แก้วเดิม 2 ใบที่เท่ากัน
ระดับจะเป็นอย่างไร เด็กตอบไม่ถูก จากการทดลองของบรูเนอร์สรุปได้ว่า
เราสามารถสร้างให้เด็กเกิด concept เกี่ยวกับ conservation
ได้เร็วขึ้นหน่อย แต่ไม่สามารถ ที่จะนำไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้
ความคิดของบรูเนอร์เกี่ยวกับเด็กวัยนี้
คือ ยัง ต้องการการสนองความพึงพอใจอย่างทันท่วงทีภายหลังที่ทำงานเสร็จ
และบรรยากาศที่ผ่อนปรนไม่ตรึงเครียดเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ระดับประถมปลาย
บรูเนอร์
กล่าวว่า เด็กในระดับประถมปลายมีพัฒนาจาก Iconic representation ไป สู่ Symbolic representation ซึ่งสิ่งที่บรูเนอร์เน้นนี้คล้ายคลึงกับแนวความคิดของเปียเจท์ในหลักการทั่วไป
แต่ต่างกันในเรื่องต่อไปนี้
“พัฒนาการทางสติปัญญา
จะแสดงให้เห็นจากการที่เด็กสามารถเลือกจากตัวเลือกหลาย ๆ
ตัวในเวลาเดียวกันและสามารถแบ่งเวลาและความสนใจได้อย่างเหมาะสมกับตัวเลือกนั้น
ๆ”
ระดับมัธยมศึกษา
การใช้สัญลักษณ์
(Symbolic representation) ของเด็กวัยนี้เป็นไปอย่างกว้างขวางขึ้น
ครูมีวิธีช่วยให้พัฒนาขึ้นไปอีกโดยกระตุ้นให้ใช้ discovery approach โดยเน้นความเข้า ใจใน concept และสิ่งที่เป็นนามธรรมต่าง ๆ
แนวคิดของเปียเจท์-บรูเนอร์ที่มีผลต่อการศึกษา
จากแนวความคิดของเปียเจท์เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนว่าควร
“รอ” ให้เด็กพร้อมเสียก่อน กับแนวความคิดของบรูเนอร์ที่ว่าควรจะ “เร่ง”
เพราะความพร้อมเป็นสิ่งที่สอนกันได้
เมื่อพิจารณาแนวความคิดของทั้งสองคนไปพร้อม ๆ กัน ท่าจะได้ข้อคิดอะไรบ้างที่จะนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน
ระดับอนุบาล
Herbert Ginsburg และ Sylvia
Opper ได้เสนอข้อสรุปในการที่จะนำทฤษฎีของเปียเจท์ไปใช้ในการสอนไว้ว่า
สิ่งสำคัญที่สุดที่นักการศึกษาจะได้มาจากงานของเปียเจท์และนำ ไปใช้ในห้องเรียนได้ก็คือ เด็ก ๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็ก
ๆ) จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็น “รูปธรรม” อย่างไรก็ดี
วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นการสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมจะขึ้นอยู่กับว่า
ท่านมีความรู้สึกเกี่ยวกับ guided ex-perience ที่ตรงกันข้ามกับ natural development อย่างไร
ถ้าท่านเห็นด้วยกับนักจิตวิทยาและนักการศึกษาหลายคนในอเมริกาที่จะ “เร่ง”
การเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ท่านอาจจะจัดการช่วยเหลือให้เด็กวัยนี้เข้าใจ
concept ของ conservation
แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าท่านเห็นพ้องด้วยกับความคิดของ
Piaget ว่า วิธีการที่ดีกว่าคือ การปล่อยให้เด็กได้รับประสบการณ์ด้วยวิธีการของเขาเอง
และตามความเหมาะสมกับวัยของเขาแล้วละก็ ท่านควรจะเตรียมสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับเขา
เพื่อปล่อยให้เขาได้มีกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมให้มากที่สุด
แต่พยายามให้น้อยที่สุดที่จะชี้ให้นักเรียนเห็นถึงวิธีสร้างประสบการณ์เหล่านั้น
ในการที่ท่านคิดเพื่อจะเลือกหาคำตอบสำหรับคำถามข้างต้นนี้
ขอให้พิจารณาผลจากการศึกษาของ J. Smedslund (1961) เขาพบว่าเป็นไปได้ที่จะเร่งพัฒนาการ concept เกี่ยวกับ
conservation เขาทดลองโดยการนำดินเหนียวมา 2 ก้อน
ทำก้อนหนึ่งให้แบน และแล้วเอาดินเหนียวออกจากก้อนนี้เสียบ้าง
เพื่อให้เล็กกว่าอีกก้อนหนึ่ง วิธีนี้จะทำให้เด็กหยุดและคิด เด็กกลุ่มทดลองเข้าใจ concept
ของขนาดได้เร็วกว่ากลุ่มควบคุม
แต่เมื่อทั้งสองกลุ่มถูกตั้งคำถามเพื่อให้อธิบายปัญหาการคงตัวของน้ำหนัก
นักเรียนในกลุ่มควบคุมซึ่งได้รับ concept ตามวิธีธรรมชาติ
สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้มากกว่านักเรียนกลุ่มทดลอง
ผลจากการทดลองนี้สนับสนุนความคิดของ Piaget ว่า
การบังคับให้เด็กเรียนจะทำให้เด็กเข้าใจเพียงผิดเผินเท่านั้น
แต่ความเข้าใจที่แท้จริงจะมีขึ้นได้ต่อเมื่อเด็กมีพัฒนาการทาง ด้านความเข้าใจด้วยตนเอง
โรงเรียนที่ดีจะต้องสนับสนุนกิจกรรมของเด็ก
รวมทั้งการสำรวจและการได้ลงมือกระทำของเขาด้วย
ถ้าครูพยายามที่จะใช้วิธีลัดโดยวิธีบอก หรือป้อนความรู้ให้แก่เด็กด้วยการพูดอธิบายให้ฟัง
ผลก็คือเด็กจะเรียนรู้อย่างผิวเผินเท่านั้น
แต่การจัดกิจกรรมขึ้นในห้องเรียนครูจะสามารถยั่วยุให้เด็กใช้ความสามารถที่มีในตัวให้เกิดการเรียนรู้
และทำให้เด็กได้มีความเข้าใจโลกรอบ ๆ ตัวเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
งานที่สำคัญของครูก็คือ การเตรียมอุปกรณ์ที่น่าสนใจต่าง ๆ
ที่จะยั่วยุให้เด็กได้ใช้ความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวให้เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้
ครูไม่ควรมุ่งแต่จะสอน แต่ควรสนับสนุนให้เด็กเรียนโดยการได้ ลงมือกระทำด้วยตนเอง
ได้หยิบโน่นจับนี่ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนด้วยตนเอง
ทั้ง Piaget และ Bruner แนะว่า
ในการสอนระดับอนุบาลนั้น ครูจะต้อง สนองความต้องการของเด็กอย่างทันท่วงทีและให้มีบรรยากาศที่ผ่อนปรนไม่ตึงเครียด
เปิดโอกาสให้เด็กได้ลองทำสิ่งต่าง ๆ ถ้าเด็กได้รับการสอนอย่างเป็นพิธีรีตองเกินไป (formal instruction) จะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกกลัวการตอบผิด
และจะทำให้เกิดความตึงเครียดได้ง่ายกว่าการสอนในบรรยากาศที่เป็นกันเอง
ระดับประถมต้น
ความเข้าใจของเด็กในเรื่อง
conservation ถือว่า เป็นพื้นฐานที่สำคัญของการเรียนรู้ทำให้ครูและนักศึกษาทั้งหลายพยายามที่จะสอนเพื่อ
“เร่ง” เด็กให้ได้ concept นี้ก่อนที่จะถึงเวลา
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วจะสามารถเร่งให้เกิด concept นี้ได้เร็วขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง
และเด็กไม่สามารถนำไปอธิบายในสถานะการณ์อื่น ๆ ได้ โดยแท้จริงแล้ว เปียเจท์เห็นว่าไม่ควรจะเร่งควรให้เป็นไปตามธรรมชาติ
เพราะเมื่อถึงวัยเด็กจะเข้าใจเอง และเมื่อเข้าใจแล้วจะสามารถแก้ปัญหาได้ทุก ๆ
สถานะการณ์
ผู้ที่สนับสนุนความคิดของเปียเจท์อย่างมากคือ
Almy ซึ่งกล่าวว่า
เราควรคำนึงถึงวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพให้กับเด็กดีกว่าการที่จะทำการทดลองเพื่อให้เด็กเกิด
con-servation ซึ่งได้เสนอวิธีต่าง ๆ
ในการสอนเพื่อให้มีประสิทธิภาพดังนี้
1. ครูควรพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีของเปียเจท์
ซึ่งจะทำให้ครูทราบ ได้ว่าเด็กมีความคิดอย่างไร
2. ถ้าเป็นไปได้ให้ประเมินระดับความคิดของเด็กแต่ละคนในชั้น
แล้วให้เด็กทุกคนได้ทำการทดลองของเปียเจท์
แล้วครูสังเกตการกระทำของเด็กแต่ละคน แล้วให้เด็กอธิบายถึงการกระทำของเขา
3. การเรียนรู้โดยการมีประสบการณ์ตรงและการทำกิจกรรมต่าง
ๆ เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ควรจัดหาอุปกรณ์และให้โอกาสเด็กได้เรียนด้วยตัวเองให้มากที่สุด
4. จัดสถานการณ์ให้เด็กได้มีการปะทะกับสังคม (social interaction) ซึ่งจะทำให้เด็กได้แลกเปลี่ยนความรู้
ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และทางที่ดีควรจะจัดให้ เด็กเก่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับเด็กอ่อน
ดีกว่าที่จะแยกเด็กเก่งออกจากเด็กอ่อน
5. จัดประสบการณ์ให้จนเด็กสามารถเกิดความคิด
สามารถเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ และแก้ปัญหาได้
6. ต้องจำไว้ว่าภาษา
เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความคิด ดังนั้นในการสอนจะต้องให้เด็กเข้าใจคำต่าง
ๆ เช่นมากกว่า-น้อยกว่า มากที่สุด-น้อยที่สุด
สำหรับบรูเนอร์เห็นว่า
ภาษาเป็นสิ่งสำคัญที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับ con-servation แต่สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือความคิดเกี่ยวกับ
บรรยากาศที่ผ่อนปรนมีอิสระ เด็กรู้สึกสบายใจที่จะเรียน และตอบปัญหาต่าง ๆ
ระดับประถมปลาย
ถ้าทานได้สอนนักเรียนระดับใดระดับหนึ่งจากระดับ
ป. 4-ม. 3 ท่านต้องระลึกอยู่เสมอว่า ขั้น concrete และขั้น formal operations แตกต่างกัน
เพราะบางทีนักเรียนต้องการทำงานอย่างหนึ่ง บางครั้งอาจเปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่ง
ดังนั้นจะเป็นการดีถ้าผู้เป็นครูจะจัด เตรียมโอกาสต่าง ๆ เอาไว้ให้มาก ๆ
สำหรับนักเรียนในการอธิบายความคิดเห็นของเขาออกมาได้โดยเสรีตามความต้องการของเขาเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นนามธรรมสิ่งที่จะต้องพิถีพิถันมากก็คือ
ข้อสรุปของนักเรียก
เพื่อครูจะได้ทราบถึงความคิดเห็นของนักเรียนแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป
ถ้าจะถามว่า
“การเร่ง” นักเรียนให้ข้ามขึ้นไปยังขั้น formal
operations จะให้ผลดีหรือไม่ ได้มีข้อขัดแย้งซึ่งเหมือน ๆ
กับที่เคยกล่าวมาแล้ว เกี่ยวกับเด็กระดับนี้นักทฤษฎีหลายท่านได้ให้ทรรศนะว่า
จะเป็นการดีกว่าถ้า ปล่อยให้นักเรียนได้มีโอกาสรับรู้ประสบ-การณ์ด้วยตนเองตามอัตราความเร็ว
ตามความสามารถของแต่ละคน การที่ไปเร่งเด็กใน ทางความคิดเป็นการเสียเวลา
และทำให้เด็กเกิดความสับสน และมีความวิตกกังวล ด้วย Pistor (1940) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้และพบว่า
การเร่งให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับเวลา ต่าง ๆ
ในประวัติศาสตร์เป็นความพยายามที่สูญเปล่า เพราะเด็ก ป. 7 สามารถเรียนรู้ได้ดีเท่ากับเด็ก ป. 7 ที่เรียนข้ามชั้น ป. 6
มาโดยหลักสูตรพิเศษที่ช่วยให้การเรียนรู้ง่ายและสะดวกขึ้น
อย่างไรก็ตาม
บรูเนอร์ และคนอื่น ๆ เห็นว่า เราควรช่วยเด็กประถมปลายเลื่อนไปอยู่ในขั้น Symbolic thought โดยใช้วิธี inquiry โดยใช้วิธีที่ครูช่วยจัดสภาพการที่จะกระตุ้นให้เด็กถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งต่าง
ๆ (อาจจะใช้เกมส์ 20 คำถาม) และการตั้งสมมติฐานว่าทำไมสิ่งนั้น ๆ จึงเกิดขึ้น
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย
เด็กวัยนี้สามารถคิดอย่างมีเหตุผล
แต่อาจจะมิใช่เหตุผลดังที่ผู้ใหญ่คิด ดังนั้นครูอาจทราบเหตุผลของเด็กได้โดยการกระตุ้นให้มีการอภิปรายแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและการเขียนรายงานโดยไม่มีคะแนน
สำหรับเด็กในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคิดของ เจโรม
บรูเนอร์สามารถนำมาใช้กับการศึกษาและการสอนดังนี้
จัดกิจกรรรมการเรียนการสอนโดยเน้นที่ผู้เรียนได้ลงมือปฎิบัติด้วยตนเอง
การให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติเพื่อเกิดการเรียนรู้ไม่จำกัดเฉพาะในรายวิชาวิทยาศาสตร์เท่านั้นแต่ในทุกรายวิชาผู้เรียนสามารถลงมือปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
เพื่อให้เกิดความรู้ที่คงทนกับผู้เรียน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกในชั้นและปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนเอง
ให้ผู้เรียนได้แสดงออกอย่างเต็มศักยภาพ
ในทุกรายวิชาทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้สามารถจัดกิจกรรมโดยการให้ผู้เรียนลงมือ
ทำอาทิเช่น การเรียนการสอนแบบโครงงาน
ตัวอย่างกิจกรรมและหัวข้อเรื่องอาจจะเป็นเรื่องง่ายที่สุดไล่ไปถึงยากที่สุดก็ได้และลักษณะกิจกรรมก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามผู้ที่วางแผนการสอนและผู้สอน
เช่น สมมุติว่าเนื้อหาที่เรียนเป็นเรื่อง “พืช”
ผู้สอนอาจจะแบ่งกลุ่มให้ผู้เรียนช่วยกันคิดว่าอยากรู้อะไรเกี่ยวกับพืช
(ผู้สอนต้องคอยดึงประเด็นไม่ให้นอกเรื่องมากเกินไปด้วย) แล้วให้แต่ละกลุ่มก็ไปหาเมล็ดพืชที่ตัวเองสนใจมาปลูก
สัปดาห์แรกอาจจะกำหนดเป็นพืชผักสวนครัว เมื่อปลูกเสร็จก็ให้ผู้เรียนวางแผนการขาย
และขั้นตอนสุดท้ายคือนำเสนอผลงานหน้าห้องกิจกรรมนี้สิ่งที่ผู้เรียนรู้ก็คือพืชสวนครัวมีอะไรบ้าง
แล้วขั้นกิจกรรมนี้สิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้ก็คือพืชสวนครัวมีอะไรบ้างแล้วขั้นตอนการปลูก
การวางแผนการขายต้องกำหนดต้นทุน ราคา และคิดหากำไร
สิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับ การลงมือทำผู้เรียนจะเกิดประสบการณ์ตรง
แล้วใช้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนสำคัญในการแก้ปัญหาและปรับปรุงให้ดีขึ้นผู้เรียนมีการปฏิบัติสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ
อย่างหลากหลาย ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ มากมายผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น
แก้ปัญหาได้เมื่อได้ลงมือปฏิบัติผู้เรียนจะจำความรู้ได้แม่นและนานกว่าการท่องจำเกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ
จากการทำกิจกรรม
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น